Mecha Story: Update

อืม...ตัวที่ไม่ได้ลงเว็บนี่มันก็มีปัญหาที่ไม่คุ้นกันสินะ...เอาเถอะๆ

ไลน์บาเรล (update)

หนึ่งในหุ่นยนต์ลึกลับที่เรียกว่ามาคินา ซึ่งใช้สมองกลที่มีจิตใจของตนเอง สามารถซ่อมแซมความเสียหายของตัวเองได้ด้วยนาโนมาชีน (ภาคอนิเมเรียกว่า เดรกซ์เลอซอยล์ หรือDซอยล์)  มาคินานั้นไม่สามารถสังหารมนุษย์ได้ ในกรณีที่พลั้งมือทำให้มนุษย์เสียชีวิต มาคินาจะถ่ายทอดDซอยล์ของตนให้เป็นการช่วยชีวิต คนที่มาคินาช่วยไว้นั้นเท่ากับได้รับเลือกเป็นแฟคเตอร์ของมาคินา แฟคเตอร์มีพลังเหนือมนุษย์และสามารถเรียกมาคินาได้ตามต้องการ ส่วนมาคินานั้นเมื่อมีแฟคเตอร์แล้วก็จะสามารถสังหารมนุษย์ได้ตามคำสั่งของแฟคเตอร์

(ดีไซน์ของภาคอนิเมะที่ออกแบบให้ดู"เป็นพระเอก"ขึ้นหน่อย)
เมื่อเทียบกับมาคินาเครื่องอื่นๆแล้วไลน์บาเรลมีสมรรถนะและความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองที่สูงผิดปกติ อาวุธหลักของไลน์บาเรลก็คือดาบคาตานะที่เก็บไว้ที่แขนทั้งสองข้าง ส่วนหางของไลน์บาเรลนั้นเป็นยูนิตขับเคลื่อนซึ่งสามารถบินได้เป็นเวลา15-20นาที แต่ก็สามารถดึงออกมาใช้เป็นอาวุธระยะไกลที่เรียกว่า"เอ็กเซคิวเตอร์"ได้ เอ็กเซคิวเตอร์นี้สามารถใช้ยิงบีมโจมตีศัตรูหรือจะเร่งกำลังเต็มที่เป็นดาบบีมขนาดใหญ่ก็ได้ ฝ่ามือสองข้างของไลน์บาเรลยังสามารถสร้างสนามพลังแรงอัดแล้วยิงออกไปได้

ไลน์บาเรลนั้นเดิมทีมีเอมิ คิซากิเป็นแฟคเตอร์ แต่ในอุบัติเหตุที่ทำให้โคอิจิ ฮายาเสะเกือบตายนั้น เอมิได้ให้ไลน์บาเรลช่วยโคอิจิไว้เลยกลายเป็นแฟคเตอร์คนที่สอง เนื่องจากไลน์บาเรลนั้นเป็นห่วงเอมิมากกว่า เมื่อมีแฟคเตอร์สองคนจึงไม่ค่อยยอมตอบสนองการควบคุมของเธอไป ทำให้โคอิจิเป็นแฟคเตอร์หลักแทน ในภายหลัง เอมิจึงได้ปลุกความสามารถที่ซ่อนอยู่ของไลน์บาเรล นั่นก็คือ"โอเวอร์ไดรฟ์" (ภาคอนิเมะเรียกว่า mode-B) ซึ่งไลน์บาเรลจะใช้เคาเตอร์นาโนมาชีนเปลี่ยนร่างเป็นสีดำ ในสภาพนี้ ไลน์บาเรลจะสามารถเปิดเกราะไหล่และกางเกราะหางออกเพื่อเร่งความเร็วถึงขีดสุดจนดูเหมือนกับหายตัวได้ การเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงนี้เรียกว่า"โอเวอร์ไรด์" เนื่องจากขัดต่อกฏของมาคินาที่ต้องปกป้องแฟคเตอร์ เพราะในขณะนั้นร่างกายของแฟคเตอร์ต้องรับภาระหนักจนเป็นอันตรายได้ เมื่อเอมิถูกเนคเก็ด มาคินาของมาซากิ สุงาวาระฆ่าตาย ความโกรธของโคอิจิก็ได้เปลี่ยนไลน์บาเรลเป็น mode-C สีแดง ซึ่งเป็นสภาพที่ไลน์บาเรลใช้กำลังทั้งหมดเพื่อทำลายเน็คเกด และจริงๆแล้วก็เป็นโหมดที่ใช้กำลังแบบเกินความจำเป็นไปมากเลยทีเดียว
 
ในภาคมังงะ ผู้ที่เป็นแฟคเตอร์ตัวจริงของไลน์บาเรลก็คืออามากัตสุ คิซากิซึ่งเป็นพ่อของเอมิและเป็นผู้พัฒนาเหล่ามาคินาขึ้นมา ซึ่งในอดีตที่อามากัตสุใช้งานไลน์บาเรลนั้นไลน์บาเรลจะเป็นร่างต้นแบบ สมองของอามากัตสุนั้นยังอยู่ในไลน์บาเรลและเป็นผู้บังคับไลน์บาเรลที่แท้จริง ซึ่งเมื่ออามากัตสุควบคุมไลน์บาเรลเต็มที่โดยไม่สนใจโคอิจิไลน์บาเรลก็จะกลายเป็นไลน์บาเรลอามากัตสุ โดยเกราะส่วนหน้าจะเปิดออก แต่ในที่สุดอามากัตสุก็ตัดสินใจฝากให้โคอิจิเป็นแฟคเตอร์ที่แท้จริงและหายไปจากโลก และสถาบันคาโตก็ได้ผลิตอาร์มารุ่นใหม่ออกมาโดยเป็นเหมือนไลน์บาเรลรุ่นต้นแบบที่ผลิตจำนวนมาก ซึ่งอาร์มารุ่นใหม่นี้มีคุณสมบัติคล้ายกับมาคินามากจึงมีอีกชื่อว่า พารามาคินา

เนื่องจากว่าแท้จริงแล้วอามากัตสุเป็นผู้บังคับไลน์บาเรลและหลังจากที่ให้โคอิจิเป็นผู้สืบทอดโคอิจิก็ควบคุมไลน์บาเรลโดยตรง จึงกล่าวได้ว่า"มาคินาชื่อไลน์บาเรล"นั้นไม่มีอยู่มาแต่แรกแล้ว มาคินาที่อยู่ในตำแหน่งของไลน์บาเรลนั้นก็คือลอสต์บาเรล บาเรลซีรีส์หมายเลข1และมาคินาตัวแรกที่อามากัตสุพัฒนาขึ้นและเรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของมาคินาทั้งหมด ซึ่งฮิซาคาตะ คาโตได้นำไปซ่อนไว้ในมาคินา แชงกรีลาของตนเองเพื่อไม่ให้ลอสต์บาเรลหาแฟคตเอร์ของตนเองได้ แต่ในที่สุดก็ได้ทาคุโร ซาวาตาริมาเป้นแฟคเตอร์ สมรรถนะของลอสต์บาเรลนั้นนับว่าอยู่ในระดับเดียวกับไลน์บาเรล ความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองของลอสต์บาเรลเท่ากับมาคินาเครื่องอื่นๆและไม่สามารถใช้โอเวอร์ไรด์ได้ แต่เนื่องจากเป็นมาคินาเครื่องแรกจึงมีการใช้ชิ้นส่วนรุ่นทดลองที่ทำให้สมรรถนะในบางด้านสูงกว่าไลน์บาเรล อาวุธของลอสต์บาเรลนั้นเป็นดาบบีมสองเล่ม ซึ่งที่จริงแล้วส่วนด้ามดาบทั้งสองเป็นเพียงจุดปล่อยพลังงานเท่านั้นและมีสายเคเบิลที่เชื่อมต่อกับส่วนที่เป็นตัวอาวุธจริงๆก็คือส่วนหางของลอสต์บาเรล จึงเรียกได้ว่าเป็นเอ็กเซคิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กลง


RX-80PR เพลไรเดอร์
MSรุ่นต้นแบบในโครงการลับของสหพันธ์โลกซึ่งใช้เทคโนโลยีMSขั้นสูงสุดของสหพันธ์ในขณะนั้นเพื่อเตรียมผลิตจำนวนมากในอนาคต โครงสร้างหลักของเพลไรเดอร์นั้นดัดแปลงมาจากของจิมสไนเปอร์ทูว์ ส่วนอาวุธนั้นนอกจากอาวุธมาตรฐานแล้วยังใช้แฮนด์บีมกัน ไฮเปอร์บีมไรเฟิล และไจแอนท์แก็ตลิงของกันดั้มG05 กับปืนใหญ่180ม.ม.ของกันดั้มภาคพื้นดินด้วย โล่ที่ใช้เป็นแบบเดียวกับของจิมสไตรเกอร์ เพลไรเดอร์นั้นมีฮาร์ดพอยน์อยู่มากมายเพื่อให้สามารถถอดเปลี่ยนอุปกรณ์ตามการใช้งานให้มีสมรรถนะสูงสุดทั้งบนโลกและในอวกาศ แต่เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการผลิตสูงมากจึงมีการสร้างเครื่องต้นแบบออกมาเครื่องเดียวเท่านั้น

สถาบันออกัสตาก็ได้นำเพลไรเดอร์ไปทดลองติดตั้ง HADES (Hyper Animosity Detect Estimate System) ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนามาจากข้อมูลEXAMของบลูเดสทินีซึ่งได้มาจากศจ.ครุสต์ โมเซส HADESนั้นนอกจากจะเร่งสมรรถนะเครื่องและช่วยในการบังคับแล้วยังใช้สารเคมีเพื่อกระตุ้นระบบประสาทของนักบินให้ปฏิกิริยาตอบสนองสูงขึ้น ซึ่งออกัสตาได้ใช้ข้อมูลของHADESไปพัฒนาต่อมาเป็นการสร้างมนุษย์ดัดแปลงในภายหลัง นักบินของเพลไรเดอร์ก็คือ คลอ โครเช ซึ่งการใช้งานHADESอย่างต่อเนื่องนั้นส่งผลกับสมองจนเธอมีอาการความจำเสื่อม และในการต่อสู้ที่อบาโออากู เพลไรเดอร์กับคลอก็ถูกหน่วยรบของซีอ้อนจับตัวไว้ได้และพาไปยังแอ็กซิสด้วย

สิบปีผ่านไป นีโอซีอ้อนก็ได้ปรับปรุงเพลไรเดอร์ใหม่กลายเป็น AMX-018[HADES]ทอริสริตเตอร์ เนื่องจากได้ทำการยกเครื่องMSสมัยสงครามหนึ่งปีให้เป็นMSสมัยใหม่ซึ่งต้องเปลี่ยนโครงสร้างมาเป็นมูฟเอเบิลเฟรมทั้งตัวจึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างใหม่ยกเว้นเพียงภายในส่วนหัวซึ่งเก็บHADESไว้เท่านั้น แบ็คแพ็คด้านหลังนั้นนอกจากจะเป็นระบบขับเคลื่อนกับถังเชื้อเพลิงแล้วยังมีเครื่องยนต์เสริมติดไว้ รวมทั้งยังมีไฮเปอร์บีมเซเบอร์กับอินคอมซึ่งดัดแปลงโดยติดไทรเบลดของไดรเซนเข้าไปด้วย ซึ่งHADESจะทำหน้าที่บังคับอินคอมกับแขนกลสำหรับใช้ไฮเปอร์บีมเซเบอร์ ที่แขนมีบีมเซเบอร์ซึ่งใช้เป็นบีมกันได้ และยังใช้ปืนไฮเปอร์นัคเคิลบัสเตอร์ของกาโซมกับโล่ของบาวู ทอริสริตเตอร์นั้นออกปฏิบัติการหลังสงครามนีโอซีอ้อนครั้งที่หนึ่งในภารกิจกวาดล้างกลุ่มกบฏของเกรมีที่เหลืออยู่ โดยมีคลอเป็นนักบินตามเดิม

Super Robot Wars Mecha Story

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา