ตำนานแห่งเอล นวนิยายเชิงแฟนตาซีผสมกำลังภายใน สนุกดีครับ

ที่อยู่ของผู้แต่งตามนี้เลย htp://LegendOfEl.blogspot.com เนื้อหาที่ก๊อปมาแปะ



ภาควิกฤตก่อกำเนิด

ตอนที่ 1 พรมแดนสองอาณาจักร

1 กุมภาพันธ์ อศ. 226





“เริ่มหิวแล้วนะเนี่ย ...” เสียงท้องร้องของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงคนหนึ่งดังขึ้น



“ท่าทางป่านี้ต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่ๆ” เขาบ่นพึมพำกับตนเองแต่ก็ยังเดินต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ มือซ้ายปัดป่ายต้นไม้ มือขวากุมอุปกรณ์ที่สามารถเป็นทั้งนาฬิกาและเข็มทิศได้ขึ้นมาดู เขาพิจารณาอยู่สักพักจึงมุ่งหน้าต่อไปทางทิศตะวันออกอีกครู่หนึ่ง



“ปัดโธ่เว้ย” เขาเริ่มจะหงุดหงิดเมื่อเห็นต้นไม้ต้นเดิมที่เขาทำเครื่องหมายเอาไว้เป็นรอบที่สาม สภาพรอบข้างของเขาล้วนเป็นป่ารกทึบซึ่งสังเกตได้ว่าปราศจากร่องรอยของผู้คนมานานแล้ว



เขาหยุดยืนตรงต้นไม้ใหญ่นั้นอีกครั้ง พร้อมกับล้วงเอาแผนที่ออกมาจากกระเป๋าสัมภาระที่สะพายติดตัวอยู่ด้านหลังขึ้นมาอย่างครุ่นคิด



เมื่อมองเขาจากมุมนี้แล้วจะเห็นว่าเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีเศษ เส้นผมสีน้ำตาลแดงตัดเป็นทรงสั้น ผิวค่อนข้างไปทางขาว รูปร่างไม่ใหญ่ไม่เล็กถือว่าเป็นเกณฑ์มาตรฐานของผู้ชายทั่วไปในสมัยนี้ หน้าตาของเขาไม่สามารถบอกได้ว่าหล่อเลิศแต่เมื่อมองลงลึกไปก็จะเห็นถึงความเข้มแข็งองอาจที่แฝงอยู่ โดยเฉพาะดวงตาของเขาที่ฉายความรู้สึกเด็ดเดี่ยว คิ้วที่แฝงความดื้อรั้นอยู่บ้าง เขาสวมใส่เสื้อผ้าสีขาวเมื่อสองวันก่อนซึ่งในตอนนี้อาจจะดูไม่ค่อยจะเป็นสีขาวเท่าใดนัก เนื่องจากผ่านการเดินทางมาเป็นระยะเวลายาวนาน



เขาใช้ความคิดกับตัวเองแล้วทบทวนอีกครั้งว่า “เมื่อวันก่อนข้าเดินทางมาถึงชายป่าเขตชายแดนต่อกันระหว่างอาณาจักรนอร์และอาณาจักรลาเวนดิส จากนั้นมุ่งหน้าลงใต้ตามถนนเชื่อมระหว่างเมืองมาเรื่อยๆ ในขณะนี้ก็ควรจะเข้ามาในเขตแดนของลาเวนดิสได้แล้ว จากจุดนั้นก็มุ่งหน้ามาทางตะวันออกเป็นเวลาอีกประมาณสามชั่วโมงก็ถึงชายป่า ดูไปดูมาจากแผนที่นี่จริงๆถ้าเดินตัดป่าตรงนี้เข้าไปอีกไม่เกินสามชั่วโมง ข้าก็ควรจะถึงหมู่บ้านแล้วนี่นา” ... แต่ความจริงนั้นเขาใช้เวลาเดินทางเกินกว่าครึ่งวันแล้ว …



สถานที่ที่เขาเหยียบอยู่ ณ บัดนี้คือจุดที่ทำเครื่องหมายกากบาทสีแดงในแผนที่ ซึ่งควรจะเป็นที่อยู่ของหมู่บ้านเงาจันทร์ที่เขาตามหา แต่พอเขาเดินมาถึงจุดกากบาทกลับไม่พบหมู่บ้านตามที่คาดคิด



จากสภาพการณ์เบื้องต้นเบื้องต้นเขาจึงคาดเดาเปะปะเอาว่าแผนที่นี้น่าจะเก่าเกินไปจนไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจน เขาจึงเดินวนรอบพื้นที่ละแวกนี้เพื่อหาทางเข้าหมู่บ้านเป็นเวลาหลายชั่วโมง จนเสบียงที่เขานำติดตัวมาก็หมดไป



“เฮ้อ ...” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วก็นั่งยองๆ ลงที่ริมต้นไม้ใหญ่ ต้นที่เขาทำเครื่องหมายเอาไว้ จากนั้นจึงสงบจิตสงบใจสักครู่เพื่อผ่อนคลายอารมณ์และถือเป็นการพักเหนื่อยไปในตัว



พอจิตใจสงบลงอารมณ์ที่ขุ่นมัวก็เริ่มจางหายไป สติปัญญาก็เริ่มแจ่มใส เขาจึงย้อนคิดทบทวนไปถึงเวลาเมื่อสองวันก่อน ตอนที่บิดาของเขามอบหมายให้เขามาที่นี่ เผื่อว่าจะมีรายละเอียดบางอย่างหรือถ้อยคำบางคำที่เขาตกหล่นไปบ้าง







สองวันก่อน ณ หมู่บ้านสวนเชอร์รี่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตะวันตกในเขตของนครมิสต์



หมู่บ้านสวนเชอร์รี่แห่งนี้เป็นหมู่บ้านเกษตรกรรม เกษตรกรส่วนใหญ่ปลูกเชอร์รี่ขายเป็นอาชีพหลัก ตรงตามชื่อเรียก ชาวบ้านทั้งหลายอยู่กันอย่างสงบสุขเพราะไม่มีโจรผู้ร้ายหน้าไหนกล้าเข้ามาก่อเหตุในเขตการปกครองของนครมิสต์ อาณาเขตภายในของนครมิสต์ถือว่าเป็นดินแดนที่มีความปลอดภัยสูงที่สุดในผืนแผ่นดิน



“ลูท ลงมานี่หน่อย พ่อมีอะไรอยากจะให้ช่วย” เสียงชายวัยกลางคนตะโกนเรียกเขาจากชั้นล่าง



ลูทกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะทำงานชั้นบน จึงตะโกนรับคำไปว่า “ครับพ่อ”



พ่อของเขาเป็นคนที่มีรูปร่างแข็งแรง อายุประมาณสี่สิบกว่าปี ทำหน้าที่เป็นครูฝึกวิชาต่อสู้ป้องกันตัวให้กับกองกำลังปกป้องหมู่บ้าน และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นนายพรานตัวฉกาจอีกด้วย บ้านที่ครอบครัวออร์นิเทียอาศัยอยู่เป็นบ้านไม้สองชั้นที่มีอายุกว่ายี่สิบปี เรียกได้ว่าอยู่มาตั้งแต่ลูทเกิดจนโตเป็นหนุ่ม หน้าบ้านมีลานกว้างเป็นสนามหญ้า ด้านหลังเป็นสวนเชอร์รี่เล็กๆ ที่เขาและพ่อของเขาปลูกเป็นธรรมเนียมในหมู่บ้านสวนเชอร์รี่ ด้านข้างบ้านของเขามีเรือนเล็กๆปลูกไว้หลังหนึ่ง เรือนหลังนี้ถูกใช้เป็นห้องเก็บของ ภายในใส่อุปกรณ์ต่างๆ นานาที่พวกเขาใช้ยามออกไปล่าสัตว์



ลูทเดินลงไปยังชั้นล่างเพื่อพบกับพ่อ มือของเขายังถือหนังสือการประดิษฐ์เล่มหนึ่ง ขณะที่เดินลงมาชั้นล่างสายตาของลูทยังไม่ยอมละออกจากหนังสือสักวินาทีหนึ่ง พอลูทเงยหน้าขึ้นมาเป็นครั้งแรกก็พบว่าพ่อของเขานั่งอยู่ที่ชุดโต๊ะรับแขก



ลูทได้ยินเสียงพ่อของเขากล่าวว่า “นั่งลงตรงนี้สิลูท พ่อมีอะไรจะคุยด้วย” พ่อกวักมือเรียกลูทเข้าใกล้พร้อมกับหยิบของขึ้นมาสองสิ่ง กล่าวต่อไปว่า “นี่ลูท ลูกจำได้ไหมว่าหนังสือเล่มนี้คืออะไร”



ลูทไม่เคยเห็นพ่อจะคุยอะไรจริงจังกับตนเองเหมือนเช่นนี้สักครั้งจึงรู้สึกแปลกอยู่บ้าง เขามองหนังสือปกสีเทาเล่มนั้นอยู่สักพักก็จดจำได้ ลูทจึงกล่าวตอบพ่อของเขาไปว่า “จำได้ครับพ่อ มันเป็นหนังสือที่เก็บรวบรวมรายชื่อและรูปศาสตราวุธเอาไว้ เห็นว่ามีอยู่หลายสิบชิ้น”



พ่อของเขายิ้มออกเมื่อลูกชายของตนจดจำหนังสือเล่มนี้ได้ หนังสือที่เขาทุ่มเททั้งหยาดเหงื่อแรงกายแรงใจเขียนมันขึ้นมากับมือ พ่อจึงตอบว่า “ใช่แล้วลูก เมื่อสมัยพ่อยังหนุ่มพ่อมีความตั้งใจอยากจะรวมรายละเอียดของศาสตราวุธที่ถือเป็นสุดยอดของแผ่นดินเอาไว้ แต่ในยุคนั้นเกิดสงครามขึ้นพ่อจึงไม่สามารถทำได้ นี่ลูกก็โตแล้วพ่อจึงอยากจะให้ลูกช่วยสานต่อความฝันของพ่อให้เป็นจริง … เมื่อวันก่อนพ่อได้รับสารแต่งตั้งจากคณะปกครองมอบอำนาจให้พ่อเป็นหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้แทนที่ท่านฮาเบอร์ที่จะเกษียณตัวเองไป พ่อรู้ตัวว่าจะต้องอยู่ดูแลหมู่บ้านแห่งนี้ไปอีกนานคงจะไปไหนไม่ได้เหมือนอย่างแต่ก่อนอีก”



หมู่บ้านสวนเชอร์รี่แห่งนี้ไม่มีเพทภัยใดๆรบกวนมานานกว่ายี่สิบปี ลูทเองทราบว่าในอดีตพ่อของเขาเคยเป็นทหารมาก่อนแต่ออกจากราชการมาใช้ชีวิตสงบสุขอยู่กับแม่ หัวหน้าหมู่บ้านจึงไหว้วานให้พ่อเขาช่วยฝึกสอนเด็กหนุ่มหลายสิบคนเพื่ออย่างน้อยก็จะได้ป้องกันพวกโจรลักเล็กขโมยน้อยและมิจฉาชีพต่างๆได้ ทั้งๆที่แทบจะไม่มีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเลย



ความจริงลูทเองเคยเปิดหนังสือเล่มนี้อ่านดูหลายครั้งและก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับยอดศาสตราวุธทั้งหลาย เพียงแต่เขาไม่เคยได้พบเห็นของจริงจึงยังไม่ทราบถึงความวิเศษของยอดศาสตราวุธเหล่านี้ ความตื่นเต้นสงสัยที่เขามีต่อของพวกนี้ก็ลดลงไป จนมาถึงวันนี้ที่พ่อเอ่ยปากถาม ความอยากรู้อยากเห็นของเขาก็กลับมาอีกครา



อีกส่วนหนึ่งที่ช่วยในการตัดสินใจครั้งนี้คือความเป็นบุตรกตัญญูจึงอยากส่งเสริมปณิธานของบิดาตัวเอง ลูทครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งจึงตอบตกลงกับพ่อของเขา



ลูทถามว่า “แล้วอย่างนี้ลูกจะต้องไปเริ่มหาจากที่ไหน”



พ่อตอบไปว่า “ความจริงแล้วมันสมควรจะมีทั้งหมดสิบหกยอดศาสตราวุธพ่อรวบรวมไว้ได้เพียงสิบสี่ชิ้นเท่านั้น ความรู้ที่พ่อบันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนซึ่งในเวลานี้อาจจะมีศาสตราวุธที่ดีกว่าปรากฏขึ้นมาก็เป็นไปได้ ลูกก็ควรจะศึกษายอดศาสตราทั้งสิบสี่ชิ้นที่พ่อเคยรวบรวมมาแต่อย่างไรก็ตามลูทก็ควรที่จะจัดเรียงใหม่ด้วยตนเอง เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่ลูกมีความรู้เพียงพอลูกถึงจะได้มีความคิดอ่านแยกแยะว่าอะไรควรจะเป็นสิ่งที่ควรจัดว่าอยู่ในยอดศาสตราบ้าง”



ลูทกล่าวตอบว่า “ลูกก็มีความคิดเห็นเช่นเดียวกันกับพ่อ สมัยก่อนอาจารย์ดาธสอนวิชาพิเคราะห์และประดิษฐ์สิ่งของให้กับลูกเช่นกัน ถึงตอนนี้ก็คิดว่าสมควรจะเป็นเวลาที่ได้ใช้มัน”



พ่อหัวเราะสักพักเอามือชี้ไปที่หนังสือของลูทที่วางอยู่ด้านข้างแล้วจึงกล่าวว่า “ลูกไม่ใด้ใช้มันอยู่ทุกวินาทีหรอกหรือ ของประหลาดที่ลูกทำออกมาเสียบ้างดีบ้างเต็มห้องไปหมด พ่อต้องขนออกไปทิ้งเสียหลายครั้ง”



ลูททำหน้าตาพิกลเมื่อถูกพ่อสัพยอก เขามองดูหนังสือประดิษฐ์เล่มที่เขาถือติดมือมา



จากนั้นพ่อจึงกล่าวต่อไปด้วยความจริงจังว่า “จงจำไว้ว่าอย่าได้ลืมสิ่งที่ดาธเคยสั่งสอนเป็นอันขาด อาจารย์เจ้าเป็นหนึ่งในยอดคนและเป็นสหายที่ดีที่สุดคนหนึ่งของพ่อ พ่อถึงได้ฝากให้มันสอนวิชาให้กับลูก”



“ครับพ่อ” ลูทตอบอย่างแข็งขัน



จากนั้นพ่อก็หยิบสิ่งของอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมาออกมาจากกล่อง มันเป็นเป็นแผนที่เก่าๆที่ตัวหนังสืออาจจะเลอะเลือนไปบ้างแต่สภาพส่วนใหญ่ก็ยังสมบูรณ์ดีอยู่จึงต้องจับต้องด้วยความระมัดระวัง



พ่อกล่าวว่า “ลูกมาดูนี่ นี่คือแผนที่ของหมู่บ้านเงาจันทร์ หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านของเพื่อนเก่าพ่ออีกคนหนึ่งซึ่งลูกก็เคยเจอเขาเมื่อสิบกว่าปีก่อนแต่พ่อคิดว่าลูกคงจำไม่ได้หรอก เพื่อนพ่อคนนี้ชื่อว่ากอร์ดอน เขามีความเชี่ยวชาญกับวิชาประวัติสิ่งของเป็นอย่างมาก เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าของชิ้นนั้นมีค่ามหาศาลหรือว่าเป็นของปลอมที่ไร้ค่า โดยเฉพาะวิชาประเภทกลไกกับดักทั้งหลายที่เขาทำลายมานักต่อนักเมื่อยามเป็นนักล่าสมบัติ พ่ออยากจะให้ลูกไปปรึกษาเขาเกี่ยวกับสถานที่ที่ลูกจะต้องไปในการสืบเสาะหาศาสตราวุธทั้งสิบสี่ชิ้น ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้เขาสอนวิชาหลบหลีกทำลายกลไกกับดักเสียได้ก็ดี จำไว้ให้มั่นกากบาทสีแดงนี่คือตัวหมู่บ้าน อยู่ตรงรอยต่อระหว่างอาณาจักรนอร์และลาเวนดิสพอดี โดยจะอยู่ในป่าลึกเข้าไปประมาณสิบกิโลเมตร ถ้าเดินจากชายป่าตรงลาเวนดิสเข้าไปลูกจะใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง”



ลูทรับแผนที่มาพิเคราะห์อย่างละเอียดแล้วจึงกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเราก็เดินไปตามทางของลาเวนดิสแล้วก็ตัดตรงเข้าป่าได้น่ะสิพ่อ”



พ่อตอบว่า “ไม่ได้ เส้นทางนั้นอันตรายมาก เจ้าอาจจะพบกับสัตว์ร้ายที่เจ้าคิดไม่ถึง จริงอยู่ว่าเส้นทางนั้นอาจจะใกล้กว่าแต่มันไม่คุ้มกับความเสี่ยง ต่อให้เป็นพ่อเองเจอกับสัตว์ร้ายตัวนั้นยังตึงมือเจ้าเองรับรองว่าไม่ไหว อย่าลืมว่าเพราะสัตว์ร้ายพวกนี้ที่ทำให้แม่ของเจ้าต้องด่วนจากโลกนี้ไป”



สิบกว่าปีก่อนแม่ของลูทสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงพึ่งจะหายจากไข้มาไม่นาน มีอยู่วันหนึ่งครอบครัวของเขาเดินทางไปพักผ่อนที่เมืองข้างเคียงแต่ด้วยเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยกลับเกิดเจอสัตว์ดุร้ายเป็นงูพิษยักษ์พ่นไอพิษใส่พวกเขา



ถึงพ่อเขาจะจัดการกับงูยักษ์นั้นได้แต่ในที่สุดแม่ของลูทก็อยู่ได้อีกไม่นาน ต่อมาอีกราวปีเศษๆ แม่ของลูทพอเลี้ยงเขาได้จนถึงอายุหกขวบก็เสียชีวิตลง จากนั้นมาเขาต้องอยู่ด้วยกันสองคนกับพ่อมาตลอด อย่างไรก็ตามลูทก็ไม่ได้เป็นเด็กขาดความอบอุ่นแต่อย่างใดเพราะผู้คนในหมู่บ้านนี้รักใคร่กลมเกลียวคอยดูแลลูทเปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน



ลูทเอ่ยปากถามพ่อว่า “ว่าแต่ พ่อจะต้องไปเป็นหัวหน้าหมู่บ้านตั้งแต่เมื่อไหร่”



พ่อตอบว่า “มะรืนนี้ลูก คาดว่าพรุ่งนี้เช้าพ่อจะต้องเดินทางเข้านครมิสต์ไปรับตราแต่งตั้งจากคณะปกครองและในตอนนั้นเราคงจะต้องแยกกัน ลูทเจ้าก็อายุยี่สิบเอ็ดแล้ว พ่อวางใจในตัวลูก” พอกล่าวจบก็ตบไหล่ลูทด้วยความหวังดี



ลูทรับของทั้งสองสิ่งมาแล้วก้มลงทำความเคารพพ่อของเขากล่าวว่า “ผมจะไม่ทำให้พ่อผิดหวัง”







คืนวันนั้น ณ ประตูเมืองทางด้านใต้ของเมืองเจนีสเหนือ อาณาจักรนอร์ รถม้าโดยสารคันหนึ่งแล่นออกมาทางถนนด้านทิศใต้ของตัวเมือง ผ่านประตูเมืองและทหารที่เฝ้ารักษาเมืองอย่างเร่งร้อน



แสงจากโคมไฟริมถนนดวงสุดท้ายก็ค่อยๆจางลงเมื่อรถม้าแล่นผ่านไปไกลขึ้นเรื่อยๆจนลับสายตา ชายหนุ่มคนหนึ่งทำหน้าที่ขับรถอยู่ทางด้านหน้าพยายามบังคับม้าอย่างรีบด่วน มุ่งหน้าไปยังทิศใต้ซึ่งเป็นพรมแดนของอาณาจักรลาเวนดิส



ชายหนุ่มที่ขับรถมีผมสีน้ำเงินเข้มเกือบจะดำ นัยน์ตาของเขาก็มีสีเดียวกันกับสีผม เขาเป็นคนที่มีรูปรางสูงกว่าคนปกติเล็กน้อย ผมของเขาปลิวไปตามสายลมที่ปะทะมาจากเบื้องหน้า ชุดที่สวมใส่กลับเป็นชุดดำสนิทสวมคลุมทับชุดด้านในของเขาซึ่งเป็นสีครามและขาว ใบหน้าของเขาหล่อเหลาคมคาย หากถอดชุดดำออกแล้วมองดูจะเห็นว่าเป็นเสมือนบัณฑิตนักศึกษารูปงามคนหนึ่ง



เมืองเจนีสมีแม่น้ำเจนีสไหลผ่ากลางแบ่งออกเป็นสองซีกคือเหนือและใต้ ซีกทางเหนือแม่น้ำเจนีสเป็นเขตแดนของอาณาจักรนอร์ส่วนซีกทางด้านใต้แม่น้ำเจนีสเป็นดินแดนของอาณาจักรลาเวนดิสเชื่อมกันด้วยสะพานแห่งหนึ่ง ระยะทางระหว่างตัวเมืองเจนีสเหนือและสะพานข้ามแม่น้ำอยู่ห่างกันเกือบสิบกิโลเมตร ตรงสะพานข้ามแม่น้ำจะมีจุดตรวจหนังสือเดินทางและกองทหารรักษาชายแดนของสองประเทศควบคุมอยู่ตลอดเวลา



มีเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นจากในรถม้าว่า “บลู ข้าจะลงตรงนี้ชักนำศัตรูไปอีกทิศหนึ่ง”



ชายหนุ่มที่ขับรถตะโกนตอบว่า “ทำอย่างนั้นไม่ได้เนส เจ้าหนีไม่รอดแน่”



เนสตอบว่า “ถ้าพวกเราแยกกันหลบหนีอาจจะมีโอกาสรอดอยู่บ้างถึงแม้มันจะน้อยก็ตาม แต่ถ้าไปกันสองคนแบบนี้พวกเรากลับไม่มีหนทางรอดอยู่เลย จะอย่างไรก็ตามทหารของนอร์ต้องติดตามมาทันภายในสิบนาทีนี้ ม้าของเราบรรทุกคนสองคนและต้องรับภาระลากรถด้วย ไม่มีทางหนีทหารที่ควบม้าเร็วได้แน่นอน”



บลูนิ่งไปสักพักจากนั้นจึงตอบว่า “เราแยกกันก็ได้ แต่คนที่ล่อพวกทหารไปอีกทางต้องเป็นข้าไม่ใช่เจ้า”



เนสกำลังจะตะโกนเถียงกลับไปพลันได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบมาจากระยะไกลจึงกล่าวว่า “ไม่น่าเชื่อว่าจะเร็วขนาดนี้”



บลูกล่าวตอบอย่างเร่งด่วนว่า “ไม่มีเวลาแล้วเจ้ามาบังคับรถแทนข้า พบกันที่เจนิสใต้ขอเพียงถึงที่นั่นพวกเราจะมีหนทางรอด” พอพูดจบบลูก็กระโดดจากหลังม้าลงสู่ข้างทาง



เนสเห็นดังนั้นจึงปีนออกมาจากตัวรถกุมบังเหียนม้าเอาไว้แล้วโยนของออกมาชิ้นหนึ่ง เขาตะโกนบอกบลูว่า “เก็บรักษาไว้ให้ดี”



บลูรับของชิ้นนั้นไว้ปรากฏว่าเป็นสมุดที่พวกเขาทั้งสองคนพยายามคุ้มกัน เขาความจริงอยากจะให้เนสนำติดตัวไปด้วยแต่ก็ทราบว่าเหตุการณ์คับขัน ไม่มีเวลาเกลี้ยกล่อมเนสอีก จึงวิ่งเตลิดเข้าป่าด้านข้างไป



ป่าแห่งนี้มีทางเชื่อมกันระหว่างอาณาจักรนอร์และลาเวนดิส แม่น้ำเจนีสเป็นพรมแดนกั้นขวางระหว่างดินแดนของสองประเทศ ตอนเหนือของแม่น้ำจะเป็นดินแดนของนอร์ ส่วนตอนใต้จะเป็นเขตของลาเวนดิส แต่ทางเดินในป่าสายนี้ไม่มีคนใช้มานานแล้ว หนทางรกร้างและเต็มไปด้วยวัชพืช



ในป่าแห่งนี้มีอยู่ช่วงหนึ่งของแม้น้ำเจนีสที่แคบเป็นพิเศษ ซึ่งสมัยสงครามเมื่อนยี่สิบห้าปีก่อนมีการสร้างสะพานไม้เล็กๆเอาไว้เดินทาง ช่วงนั้นสะพานหลักข้ามแม่น้ำเจนีสถูกปิดตาย เหล่าทหารจึงต้องอาศัยการสร้างสะพานไม้ในป่าข้ามไปตีเมืองเจนีสใต้แทน ตัวบลูเองก่อนที่จะรับภารกิจนี้ได้ศึกษาภูมิประเทศเหล่านี้เป็นอย่างดี คาดว่าหากเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงฉุกเฉินจะใช้เส้นทางลับในป่าแห่งนี้ให้เป็นประโยชน์



“พวกมันแยกไปสองทาง” เสียงทหารคนหนึ่งดังขึ้นมาจากกองทหารที่ขี่ม้าไล่กวดทั้งสอง



นายทหารคนหนึ่งควบม้ามาถึงด้านหน้าลูกน้องทั้งหมดหันหน้ากล่าวสั่งการว่า “พวกเราแบ่งกันไปสองกลุ่ม พวกเจ้าสิบคนตามข้าไปทางรถม้า ส่วนพวกเจ้าที่เหลือตามอีกคนหนึ่งไปตามแนวป่า”



ลูกน้องทั้งยี่สิบกว่าคนรับคำเป็นเสียงเดียวกัน แยกเป็นสองขบวนเพื่อไล่ตามจับคนทั้งสองให้ได้ เพียงพิจารณาจากระเบียบวินัยก็ทราบว่าทหารเหล่านี้มิใช่ทหารเลวทั่วไป พวกเขาได้รับการฝึกเป็นอย่างดีถึงสามารถแบ่งกำลังเคลื่อนไหวได้คล่องตัวถึงเพียงนี้



สาเหตุที่พวกทหารยี่สิบกว่าคนไล่ตามจับคนทั้งสองอย่างหมายมั่นปั้นมือขนาดนี้เป็นเพราะหมายสั่งเรียกจับประกาศมาจากตึกผู้บังคับบัญชาในค่ายทหารโดยตรง ผู้จับได้จะมอบรางวัลนำจับเป็นเหรียญทองสิบเหรียญ เงินจำนวนนี้เพียงพอให้ผู้คนธรรมดาอยู่กินไปอย่างสบายได้ถึงสิบเดือนเต็ม



ม้าของทหารที่ไล่ติดตามมาบลูมาทางชายป่ากลับกลายเป็นเครื่องถ่วงความเร็วไป บลูที่ชาญฉลาดอาศัยเส้นทางที่รกทึบจนม้าไม่สามารถห้อตะบึงได้เต็มที่ เขาวางแผนระบุเส้นทางเดินป่ามาก่อนว่าทางใดสามารถไปได้สะดวก ถ้าหากเจอทหารม้าไล่ตามสมควรหลบหนีไปทิศทางใด



ทหารฝ่ายที่ไล่กวดบลูจึงแบ่งกำลังเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งต้องสละม้าติดตามเข้าไปในบัดดลโดยทิ้งให้ผู้หนึ่งดูแลม้าอยู่ที่ชายป่า อีกส่วนหนึ่งยังคงขี่ม้าควบไปตามริมชายป่าล่วงหน้า จากนั้นค่อยสละม้าตัดเข้าทางด้านข้างเพื่อไปดักหน้าเส้นทางหลบหนี ทหารกลุ่มนี้หมายกางตาข่ายหน้าหลังโอบล้อมจากทุกทิศทางปิดกั้นทางหนีของบลูให้สิ้น



บลูวิ่งตะบึงมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงติดต่อกันก็พบว่าชุดสีดำที่สวมคลุมทับเสื้อผ้าของตนเองมีรอยขาดวิ่นอยู่เป็นหย่อมๆ พละกำลังก็ร่อยหรอลงไปทุกทีจึงจำเป็นต้องนั่งพักสักครู่คิดหาทางหลบหนีสืบต่อ เวลาผ่านไปไม่นานนักบลูก็ได้ยินเสียงผิดปกติ เป็นเสียงฝีเท้าทหารราวห้าหกคนกำลังสืบหาร่องรอยของตนดังมาจากทางเบื้องหน้า



บลูใช้ความคิดกับตัวเองก็พบว่าตนอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายถึงขีดสุด ทหารเบื้องหน้าขี่ม้ามาดักรอเขาอยู่ก่อน ในขณะที่เขาเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งตะบึงเพื่อสลัดทหารที่ตามมาจากด้านหลัง เขาแหงนหน้ามองพระจันทร์ก็โล่งใจไปหนึ่งส่วนเพราะว่าคืนนี้เป็นคืนแรม มีแสงจันทร์เพียงเบาบางเท่านั้นไม่สามารถค้นหาร่องรอยของเขาได้ถนัด



บลูสงบสติสัมปชัญญะใช้ปัญญาวิเคราะห์สถานการณ์โดยรวม ความจริงที่เห็นคือพบศัตรูตามมาสองกองหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง แต่ละกองมีทหารจำนวนห้าถึงหกคนโดยประมาณ กองทหารด้านหน้าเดินทางมาดักทางเขาไว้แล้วแต่ยังไม่รู้ว่าเขาอยู่ในละแวกนี้ ส่วนกองทหารที่ตามหลังยังเดินทางมาไม่ถึงแต่คาดว่าติดตามอยู่ห่างไม่เกินครึ่งชั่วโมง จากการประเมินโดยหยาบภายในเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมงนับจากนี้ศัตรูทั้งสองฝ่ายก็จะรวมตัวกันแล้วช่วยกันควานหาร่องรอยของเขา ข้อที่เขาได้เปรียบเพียงหนึ่งเดียวคือสภาพแวดล้อมที่ช่วยปิดบังร่องรอยของเขาไม่เปิดเผยออกไปในความมืดมิด แต่ถ้าฟ้าสางเมื่อไรนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง



บลูพิจารณาถึงทางออกจากป่าแห่งนี้ก็พบว่ามีหลายทางที่เขาสามารถเลือกได้ว่าจะหนีไปทางใด ถ้าขึ้นเหนือจะกลับไปยังที่เดิมที่เขากระโดดลงจากรถม้าซึ่งเป็นไปไม่ได้ ทางทิศตะวันออกติดแนวภูเขาชันเขาก็ไม่มีความสามารถปีนข้ามภูเขาสูงขนาดนั้นได้ ทางทิศตะวันตกจะไปยังแนวสะพานข้ามแม่น้ำเจนีสที่มีทหารตรวจตราอยู่อย่างหนัก ขนาดเนสขี่ม้าไปยังไม่แน่ว่าจะรอดถ้าเขาเดินเท้าไปรับรองได้ว่าไม่มีทางรอด ทางสุดท้ายคือทิศใต้ที่เป็นแม่น้ำข้ามไปยังลาเวนดิส ทางออกที่เป็นไปได้ของเขามีเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือสะพานไม้ในป่าที่จะข้ามไปยังลาเวนดิส



จุดนั้นเป็นจุดที่ล่อแหลม พวกทหารจะต้องวางกำลังทหารเอาไว้สกัดจับเขาอย่างแน่นอน ทางเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้คือฝ่าด่านออกไป



ขณะนี้ห่างจากเวลาฟ้าสาวราวสี่ชั่วโมง พอคิดได้เช่นนี้บลูจึงตัดสินใจกับตนเองว่าจะอาศัยเวลาช่วงนี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด พักผ่อนให้เต็มที่เท่าที่จะทำได้ เมื่อเขาอยู่นิ่งเฉยพักร่างกายแต่ศัตรูจะต้องเหน็ดเหนื่อยจากการตามล่าเขา อีกสามชั่วโมงให้หลังเขาจะต้องบุกทะลวงแนวป้องกันที่สะพานเพื่อไปยังลาเวนดิสให้ได้



ช่วงเวลานั้นเป็นเวลาใกล้ฟ้าสางซึ่งผู้คนทั่วไปจะเหน็ดเหนื่อยถึงที่สุด คลายการระวังป้องกันบางส่วนอีกทั้งไม่มีแสงตะวันช่วยสาดส่องทำให้เขาสามารถชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบ นี่เป็นการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่คราหนึ่ง พอคิดได้เช่นนั้นจึงหลบซ่อนในโพรงต้นไม้ใหญ่หากอหญ้ามาปิดปากโพรงให้มิดชิดแล้วหลับไป







ลูทเก็บของทั้งหมดที่ต้องใช้กับการเดินทางครั้งนี้ลงกระเป๋าสัมภาระของเขา การเดินทางครั้งนี้อาจจะใช้เวลาแรมปีทำให้เขาอาลัยอาวรณ์ต่อบ้านหลังนี้อยู่ไม่น้อย บ้านที่เขาเกิดและเติบโตมาตั้งแต่เล็ก



นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่จะต้องเดินทางคนเดียวเป็นระยะเวลายาวนาน ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเดินทางมาก่อน เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาจะไปกับเพื่อนสนิทของเขาอีกคนหนึ่งที่ร่ำเรียนวิชาจากอาจารย์ดาธด้วยกันหรือไม่ก็จะออกป่าไปล่าสัตว์กับพ่อในฐานะพรานผู้ช่วย



การร่ำเรียนจากอาจารย์ดาธก็แปลกกว่าที่อื่น เป็นที่รู้กันในหมู่นักเรียนทั้งสองคนว่าฝีมือของอาจารย์จัดอยู่ในระดับขั้นลึกล้ำสุดหยั่งคาด



วิธีการสอนของอาจารย์จะไม่เหมือนครูคนอื่น เขาจะยึดลูกศิษย์เป็นหลักไม่ถ่ายทอดวิชาที่เหมือนกันให้กับลูกศิษย์ทั้งสอง แต่ใช้ความรู้ของอาจารย์เลือกวิชาที่คิดว่าเหมาะกับศิษย์ของตนขึ้นมาแล้วสอนแต่วิชาพวกนั้น ลูกศิษย์ที่ออกมาจะไม่มีทางเป็นดาธคนที่สองหรือฝึกวิชาประจำสำนักเหมือนๆกันทุกคน เขาเว้นทางเดินไว้ให้ศิษย์ของเขาค้นหาและพัฒนาตนเองในอนาคต ซึ่งนั่นเป็นเส้นทางที่จะต้องไขว่คว้าหามาด้วยตัวของลูกศิษย์เขาเอง แต่สิ่งที่ดาธมอบให้แก่ศิษย์จะเป็นสิ่งที่เขามั่นใจว่าศิษย์ของเขาจะใช้ประโยชน์จากมัน เพื่อจะให้ค้นหาทางเดินในฝันของศิษย์แต่ละคนพบ



ลูทร่ำเรียนวิชาในหมวดการประดิษฐ์และดนตรีการจากอาจารย์ดาธมากึ่งหนึ่ง ที่เหลืออาจารย์บอกให้เขาไปค้นหาและบัญญัติขึ้นเอง ศาสตร์ทั้งสองนี้จะเป็นศิลปะมากกว่าเป็นข้อกำหนดตายตัว ดาธเพียงแค่สอนพื้นฐานและวิธีการประยุกต์ให้ลูทเท่านั้น ซึ่งลูทเองก็รักวิชาพวกนี้มากกว่าการต่อสู้หรือศาสตร์แห่งเอลทั้งหลายที่เขาไม่ใคร่จะสนใจสักเท่าไร



ลูทจัดสัมภาระและใช้ความคิดกับตนเองจนเกือบฟ้าสางจนในที่สุดก็คิดได้ว่าต้องพักผ่อนให้เต็มตาสักครั้งหนึ่งไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าเขาคงจะออกเดินทางพร้อมกับพ่อไม่ไหว ดังนั้นเขาจึงดับตะเกียงลงแล้วเข้านอน







บลูลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี หลังจากที่ได้พักผ่อนเป็นเวลาสามชั่วโมง



เขารู้สึกคึกคักขึ้นอักโข กำลังวังชาต่างๆฟื้นฟูมาอยู่ในระดับที่สมบูรณ์มากกว่าเขาคาดไว้ จากบทเรียนที่เขาได้ร่ำเรียนเรื่องการนอนหลับในสนามรบเป็นสิ่งที่ช่วยให้นักรบหลายต่อหลายคนรอดชีวิตมาได้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง



หลังจากที่บลูตื่นขึ้นเขาก็ทำการสำรวจพื้นที่รอบด้านต้นไม้ บลูมองลอดออกไปตามรูที่เปลือกไม้พบว่าทหารหลายคนแยกย้ายกันค้นหาเขาอยู่ในพื้นที่บริเวณนั้น ท่าทางการเดินบ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยเนื่องจากการไม่ได้พักผ่อนเป็นระยะเวลานาน เขาเห็นดังนั้นจึงกำหนดแผนการคร่าวๆในใจ หลังจากที่เขามุดออกไปจากต้นไม้จะซอกซอนไปตามช่องว่างของทหารทางทิศใต้เพื่อไปยังสะพานข้ามแม่น้ำ



เมื่อบลูเล็ดรอดออกไปถึงริมน้ำได้สำเร็จ สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าก็ไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่เขาคาดการณ์เอาไว้ มีทหารสี่คนรักษาการณ์อยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำอย่างเข้มงวด สกัดกั้นทางหนีออกนอกอาณาจักรเพียงทางเดียวของเขา ทหารด้านหลังสองคนถือหน้าไม้เป็นอาวุธทำหน้าที่มองสอดส่องไปยังลำน้ำทั้งสองฟาก ถ้าพบเห็นสิ่งผิดปกติจะยิงลูกศรออกไปในบัดดล



ถึงแม้ว่าแม่น้ำเจนิสจุดนี้เป็นจุดที่แคบที่สุด มนุษย์ก็ไม่สามารถจะดำน้ำข้ามไปได้ในอึดใจเดียว ขอเพียงแค่โผล่หัวออกมาเพื่อเปลี่ยนลมหายใจก็จะถูกทหารที่ถือหน้าไม้ทั้งสองรุมยิงจนเป็นเม่นทะเลตัวหนึ่งไป



บลูจึงต้องใช้อุบายเพื่อหลอกล่อทหารกลุ่มนี้ แทนการบุกฝ่าไปอย่างหักโหม เขาซ่อนตัวอยู่ตามพงหญ้าริมตลิ่งศึกษาสภาพแวดล้อมโดยรอบ กำหนดแผนการขึ้นในใจเป็นมั่นเหมาะ



บลูเป็นผู้ชำนาญการใช้ศาสตร์แห่งเอลคนหนึ่งซึ่งสามารถใช้มันสร้างสถานการณ์เพื่อหลอกลวงศัตรูได้ เมื่อศัตรูมุ่งความสนใจไปยังต้นเพลิงที่เขาเสกขึ้นจากนั้นก็จะถึงเวลาที่เขาบุกไปหักด่านสะพานด่านนี้ เขาจะใช้ความรวดเร็วและความมืดสยบทหารที่ขัดขวางไว้ก่อนที่จะรู้ตัว จากนั้นหนีเข้าป่าฝั่งลาเวนดิสไปสมทบกับเนสที่เมืองเจนิสใต้



เอลเป็นศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของยุคนี้ แบ่งเป็นสองแขนงใหญ่ที่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ชนิดแรกเป็นการศึกษาถึงการใช้พลังงานที่ซ่อนเร้นหรือเอลที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายคนเรา ผู้ที่ศึกษาเอลชนิดแรกนี้เรียกว่าเอลลิส พวกเขาสามารถดึงพลังงานที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเอล ทำให้ก่อกำเนิดเป็นพลังงานได้ราวกับเป็นคาถาอาคมชนิดหนึ่ง บลูเป็นหนึ่งในบุคคลจำพวกนี้



ชนิดที่สองเป็นการใช้พลังงานเอลที่อัดแน่นอยู่ในแร่ชนิดพิเศษที่เรียกว่าเอลไลท์ แร่ชนิดนี้เป็นแร่ชนิดพิเศษที่ถูกค้นพบและนำมาใช้พัฒนาบ้านเมืองให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองเพราะเป็นสสารที่ให้พลังงานได้สูง ผู้ที่ศึกษาเอลชนิดที่สองนี้เรียกว่าเอลเทค พวกเขาสามารถสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่ล้ำสมัยโดยการใช้พลังงานจากแร่เอลไลท์เป็นพื้นฐาน



ขณะที่บลูกำลังจะร่ายเอลที่สี่ซึ่งเป็นเอลแห่งไฟเพื่อล่อลวงศัตรูก็ฉุกคิดว่า ถ้าไฟไหม้ป่านี้ไปแล้วควบคุมไม่ได้ อันตรายก็อาจจะมาสู่ตัวเขาหรือผู้คนที่อาศัยอยู่แถวนี้ จึงเปลี่ยนใจร่ายเอลที่หนึ่งซึ่งเป็นเอลแห่งดินแทน เหงื่อเม็ดโป้งๆไหลออกจากหน้าผากเขาด้วยความตื่นเต้น เขาจะกระทำสิ่งผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเพราะนั่นอาจหมายถึงชีวิตของเขา



“พสุธากัมปนาท!” พอสิ้นเสียงที่บลูกล่าว ก็เกิดวงแหวนสีเหลืองที่พื้นดินที่บลูกำหนดทิศทางของเอลที่ร่ายไว้ จากนั้นเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ตูม! พื้นดินใต้ต้นไม้ยุบลงไปแถบหนึ่ง ต้นไม้สามสี่ต้นทยอยกันหักโค่นลงมา ทหารทั้งหมดที่กำลังเดินหาร่องรอยของบลูร้องอุทานขึ้นกันยกใหญ่ ทหารในป่าบางส่วนวิ่งกรูกันเข้าไปตรวจสอบว่ามีร่องรอยอะไรหรือไม่ ส่วนทหารสี่คนที่คุมสะพานอยู่ก็มีทหารคนหนึ่งเดินลงจากสะพานรุดไปดูสถานที่เกิดเหตุ



วินาทีนั้นสำคัญยิ่งกว่าเพชรทอง บลูวิ่งไปยังสะพานแข่งกับนาทีทองอันล้ำค่าดั่งลูกศรหลุดจากแหล่ง เขาใช้มือซ้ายหยิบหอกสั้นที่สะพายไว้กลางหลังขึ้นมาถือมั่น เมื่อบลูกดปุ่มกลไกที่ด้านข้างด้ามหอก ด้ามหอกอีกครึ่งหนึ่งที่ซ่อนไว้ภายในจะถูกปลดล็อคทำให้ยืดออกมา กลายเป็นหอกยาวที่มีความยาวเกือบเท่าความสูงของเขา ส่วนมือขวาปรากฏแสงสีฟ้าเรืองรองเปล่งประกายในความมืด เขาวิ่งตรงเข้าไปยังสะพานราวกับเป็นดาวหางสีน้ำเงินดวงหนึ่ง



ทหารบนสะพานทั้งสามพบเหตุเปลี่ยนแปลง ด้วยความที่เป็นมือชั้นดีก็ยังรักษาความเยือกเย็นบางส่วนไว้ได้ ทหารคนทางซ้ายซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าหน่วยกดปุ่มยิงศรออกไปจากหน้าไม้ที่ถืออยู่ ตะโกนบอกเพื่อนพ้องว่า “ระวังเอล” แต่หน้าไม้ทิ่ยิงด้วยความฉุกละหุกใส่ศัตรูเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วทำให้สูญเสียความแม่นยำไปมาก ลูกศรที่ยิงออกไปจึงพลาดเป้าไปกว่าหนึ่งเมตร



ทหารคนทางขวาที่ถือหน้าไม้อีกคนถูกบลูพุ่งเข้าประชิดตัวในทันควัน เขายังไม่ทันจะยิงหน้าไม้ตอบโต้ก็ถูกชนเสียจังหวะไป ทหารคนกลางที่ไม่ได้ถือหน้าไม้เห็นดังนั้นจึงใช้ดาบในมือฟาดฟันเข้ามาช่วยเพื่อนที่กำลังถูกบลูคุกคาม ทำให้บลูต้องเอามือซ้ายที่ถือหอกปาดไปยังทหารคนกลางเพื่อตั้งรับ เสียงหอกและดาบปะทะกันทหารคนกลางถูกแรงปะทะจากการวิ่งของบลูทำให้สูญเสียการทรงตัวต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าวใหญ่



“กระสุนวารี” ปรากฏเป็นแสงสีฟ้าขึ้นที่ฝ่ามือของบลู ชี้ไปยังทหารด้านขวาที่ถูกบลูเข้าประชิดตัว กระสุนน้ำพุ่งออกมาจากมือกระแทกทั้งคนทั้งหน้าไม้ตกน้ำไปในทันที หัวหน้าหน่วยทหารที่ยิงหน้าไม้พลาดเห็นดังนั้นจึงชักดาบของตนออกมาพร้อมกับกู่ร้องเสียงดัง ฟันดาบไปยังบลูอย่างถนัดถนี่



บลูเห็นว่าถ้าถูกพัวพันไว้อีกซักระยะหนึ่ง แล้วปล่อยให้ทหารที่รุดหน้าไปสำรวจดินถล่มกลับมาพบเห็นตนเองละก็วันนี้ของปีหน้าก็จะเป็นวันครบรอบวันตายของเขา บลูจึงฝืนใจใช้หอกต้านรับดาบที่ฟันมาอย่างสุดแรง จะอย่างไรก็ตามความถนัดของบลูคือวิชาเอลไม่ใช่การต่อสู้ประชิดตัว



เสียงโลหะทั้งสองกระทบกันดังปัง ดาบที่ฟันมาอย่างสุดแรงทำให้บลูเลือดลมพลุ่งพล่านข้อมือซ้ายชาไประยะหนึ่ง ทหารที่โดนบลูปัดเซไปตอนแรกก็พอจะตั้งตัวได้จึงรุดมาช่วยหัวหน้าหน่วยของตน ทหารทั้งสองฉวยโอกาสนี้ใช้ดาบสกัดกั้นบลูเป็นพัลวัน ทันใดนั้นมีแสงสีเ
Fiction

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา