ตำนานแห่งเอล ตอนที่ 2

[SIZE=5][QUOTE]ภาควิกฤตก่อกำเนิด



ตอนที่ 2 ขุนโจรราเกซ



1 กุมภาพันธ์ อศ. 226[/QUOTE]

บลูหันหลังกลับมาตามเสียงเรียก เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็พบหน้าเพื่อนเก่าที่คุ้นเคยกันเป็นเวลานานก็ตื่นเต้นดีใจแต่ก็ยังไม่ละทิ้งสติสัมปชัญญะ เขาหันหน้ากลับไปทางที่มีศัตรูติดตามมาพร้อมกับตะโกนบอกลูทให้ระวังตัว



ทันใดนั้นนายทหารในเครื่องแบบสีดำแหวกพงหญ้าตามเข้ามา ถึงกับชะงักเล็กน้อยเมื่อพบว่าบลูมีผู้ช่วยเหลืออีกสองคน เขาจึงคิดชิงกำจัดบลูที่ใช้เรี่ยวแรงออกจวนหมดสิ้น ถ้าหากลงมือประสบผลก็ยังสามารถหลบหนีไปได้



นายทหารผู้นั้นใช้หอกยาวแทงตรงเข้ามาใส่บลูที่ยังล้มอยู่กับพื้น คมหอกมีสีเงินค่อนไปทางสีขาวแสดงว่าสร้างมาจากโลหะมิทราล ลูทเห็นเช่นนั้นจึงใช้กระบี่ของตัวเองปกป้องเพื่อนสนิท เข้าต้านรับคมหอกของฝั่งตรงข้าม ลูทสะท้านขึ้นคราหนึ่งเมื่อถูกแรงกระแทกต้องถอยหลังไปก้าวใหญ่ ส่วนหอกของนายทหารผู้นั้นก็ถูกกระบี่ปัดเสียจังหวะไป ลูทรู้สึกว่าข้อแขนของตัวเองชาด้านไปหมด เรี่ยวแรงของทหารคนนี้ช่างมีมากเสียเหลือเกิน



เมื่อลูทเสียหลักนายทหารคนนั้นก็ไม่เปิดโอกาสให้ลูทตั้งตัว เขาใช้หอกตวัดปาดเฉียงจากล่างขึ้นบนเปลี่ยนเป้าหมายจากบลูมาเป็นลูทในทันที ลูทใช้กระบี่เข้าต้านรับอีกคราแต่คราวนี้ลูทต้องถอยไปครึ่งก้าวในขณะที่นายทหารยังสามารถแทงหอกซ้ำเติมอีกสองครั้ง ลูทรับมือเป็นพัลวัน ปัดป่ายหอกของฝั่งตรงข้ามออกด้านข้างให้พ้นตัว เขารู้สึกได้ว่าฝีมือของตนเองยังเป็นรองนายทหารคนนี้อย่างน้อยสองขั้นหรือสามขั้น จึงสงบจิตใจที่ตื่นเต้นยินดีที่พบบลู ตั้งสมาธิเพื่อต้านรับหอกยาวของฝ่ายตรงข้ามอย่างสุดกำลัง



เสียงคมหอกแหวกอากาศดังขึ้นติดต่อกัน หอกยาวของนายทหารแทงออกมาดุจดังห่าฝน ลูทที่มีฝีมือเป็นรองเห็นเพียงแต่ปลายหอกที่เป็นเงาสีเงินพุ่งเข้ามาใส่ตน เขาพยายามใช้กระบี่ต้านรับเฉพาะเงาหอกที่พุ่งเข้ามาที่จุดสำคัญ ส่วนที่ไม่ใช่จุดสำคัญก็พยายามขยับหลบหลีก คงไว้ซึ่งการตั้งรับอย่างรัดกุม



ถึงแม้ลูทจะตกเป็นฝ่ายตั้งรับ แต่ก็พยายามหาจังหวะที่จะสะบัดกระบี่โต้กลับอยู่ทุกเมื่อ เขารู้ตัวดีว่าถ้าตกเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่อย่างเดียว จะอย่างไรก็ต้องประสบกับความพ่ายแพ้ ในขณะที่ลูทค้นหาช่องว่างของฝ่ายตรงข้าม เงาหอกเงาหนึ่งแทงเสริมเข้ามาโดยที่เขามิได้คาดหมาย ลูทเบี่ยงตัวหลบปลายหอกที่เขารับมือไม่ทันอีกครั้ง ปลายหอกของนายทหารแทงเฉียดเข็มขัดด้านข้างของกางเกงลูทไป โชคยังดีที่ลูทก้าวขาได้รวดเร็ว เงาหอกยังไม่สามารถทำอันตรายเขาได้ ลูทกำลังหาทางรับมือนายทหารฝั่งตรงข้ามอย่างใจจดใจจ่อ จึงมิได้สนใจว่าเหรียญสัญลักษณ์ที่ห้อยอยู่ที่ข้างเอวของเขาถูกหอกเกี่ยวตกลงไปที่พื้น



คมหอกของนายทหารบาดเข้าที่แขนลูทจนโลหิตหลั่งไหล แผลที่เกิดยังไม่ลึกเท่าใดนัก เป็นเพียงแผลที่เกิดจากการบาดผิวเผิน เพลงกระบี่ของลูทไม่ได้เก่งกาจเลอเลิศ เขาร่ำเรียนวิชากระบี่มาจากบิดา เพื่อไว้ใช้ป้องกันตัวช่วงที่ออกไปล่าสัตว์ในป่า ด้วยจิตใจที่ไม่ย่อท้อและความตั้งใจที่จะช่วยเพื่อนให้ได้ ทำให้ลูทยืนกัดฟันสู้อยู่จนถึงบัดนี้ เมื่อเทียบกันระหว่างคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่าย ฝั่งตรงข้ามเป็นนายทหารฝีมือดีมีวิชาหอกที่ล้ำลึก ในขณะที่ลูทเป็นลูกนายพราน ถนัดในการล่าสัตว์หรือประดิษฐ์สิ่งของมากกว่าเพลงกระบี่ สามารถรับมือได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเยี่ยมยอดมากแล้ว



บลูเห็นว่าลูทคงรับมือได้อีกไม่นาน เงาหอกเริ่มจะแผ่ขยายเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ เสื้อผ้าบางจุดของลูทขาดออกเป็นแผลถลอกจากการถลันหลบอย่างฉิวเฉียด โลหิตค่อยๆซึมออกมาตามปากแผลเล็กน้อย บลูจึงพยายามฝืนใจร่ายเอลช่วยลูท แต่เอลในร่างกายกลับไม่ตอบสนองตามที่เขาคิด ขณะที่หลบหนีเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนบลูเองสูญเสียพละกำลังไปอักโข ไม่สามารถใช้เอลออกได้ตามใจปรารถนาอีก ดูท่าแล้วคงต้องเสียเวลารวบรวมเอลอีกระยะหนึ่ง



ลูทตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของหอกจนต้องถอยหลังไปสามก้าว แต่แล้วพลันพบช่องว่างระหว่างการชิงจู่โจมของนายทหารชุดดำ จังหวะการแทงหอกนั้นดูเหมือนไม่ต่อเนื่องเหมือนช่วงแรก เงาหอกเบาบางลงส่วนหนึ่ง ความกดดันที่มีมาหาเขาก็ลดลงส่วนหนึ่ง ในที่สุดเขาก็พบเห็นช่องว่างที่แขนซ้ายของนายทหาร ลูทคาดการณ์ว่านายทหารคนนี้คงเสียพละกำลังไปในขณะตามไล่กวดบลู เมื่อพบกับเขาก็พยายามรีบเผด็จศึกเขาโดยเร็ว ทำให้เรี่ยวแรงไม่ประติดประต่อ สุดท้ายจึงเกิดเป็นช่องว่างขึ้น พอคิดได้เช่นนั้นลูทจึงใช้กระบี่ของตนตวัดเข้าไปในช่องโหว่นั้นทันที



ผ้าสีเหลืองผืนหนึ่งเช็ดถูคมกระบี่อยู่อย่างทนุถนอม ตัวกระบี่มีขนาดใหญ่กว่าปกติจึงต้องใช้เวลาทำความสะอาดมากกว่ากระบี่ทั่วไป



กระบี่ของมือปราบชั้นหนึ่งไกยาวกว่าปกติเกือบสองฟุต ตัวคมกระบี่มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของกระบี่ทั่วไป น้ำหนักของมันก็มากเป็นสองเท่าตามไปด้วย ทำให้เขาไม่สามารถสะพายกระบี่ไว้ที่ข้างเอวเหมือนคนอื่นได้ กระบี่ลักษณะนี้เรียกว่ากระบี่ยักษ์หรือกระบี่สองมือ คนที่เริ่มต้นฝึกกระบี่ยักษ์จะเริ่มจากการใช้สองมือจับกระบี่แล้วฟาดฟันออก พอฝึกไปถึงได้ระดับหนึ่งถึงจะสามารถใช้มือข้างเดียวฟาดฟันกระบี่ได้ กระบี่ยักษ์พวกนี้จึงจำกัดไว้เพียงผู้ใช้ที่มีกำลังข้อแขนมาก มิฉะนั้นจะไม่สามารถที่ใช้อาวุธที่หนักอึ้งด้วยความคล่องแคล่วได้



ไกกำลังจะเดินทางออกจากเมืองโอดิน ตั้งอยู่ทางเหนือของเมืองเจนีสลึกเข้าไปในพื้นที่ของอาณาจักรนอร์ เมื่อเดือนก่อนเขาได้ตกลงรับภารกิจที่สำคัญเรื่องหนึ่ง จากผู้ตรวจการประจำภาคตะวันตก นั่นคือการกวาดล้างกองโจรสุนัขป่าทางตะวันตกของเมืองนี้



ไกเป็นหนึ่งในมือปราบชั้นหนึ่งของอาณาจักรนอร์หรือเรียกว่ามือปราบระดับหนึ่งก็ได้ จัดเป็นตำแหน่งสูงสุดของผู้รักษาความปลอดภัย พวกเขาถือว่าเป็นหน่วยปราบปรามความไม่สงบที่ขึ้นชื่อที่สุดในอาณาจักรนอร์ทอดสายตาทั้งอาณาจักรมีบุคคลระดับนี้อยู่เพียงสามคนเท่านั้น มือปราบชั้นหนึ่งรับคำสั่งจากชั้นผู้ตรวจการโดยตรงไม่จำเป็นต้องขึ้นต่อพื้นที่ใดๆ ไกดำรงตำแหน่งนี้มาเป็นเวลาสามปีแล้ว ตัวเขาเองตั้งใจจะลาออกจากการทำงานเป็นมือปราบเสียที เพื่อที่จะได้ดูแลพ่อแม่บุญธรรมที่แก่เฒ่าทั้งสอง ถึงแม้ว่าท่านทั้งสองจะเก็บเขามาเลี้ยงแต่บุญคุณที่อุปการะและความผูกพันที่อยู่ร่วมกันมาเกือบสามสิบปี ไม่มีวันที่จะลบเลือนไปจากจิตใจของเขา งานมือปราบชั้นหนึ่งเป็นงานที่เสี่ยงอันตรายและจะต้องออกเดินทางอยู่บ่อยๆ เป็นเพราะเขาทำงานประเภทนี้จึงไม่มีเวลาให้กับบิดามารดา สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกผิดอยู่ลึกๆในใจ



ไกตกลงใจแล้วว่างานนี้จะเป็นงานสุดท้ายของเขาในฐานะมือปราบชั้นหนึ่ง จากนั้นเขาคงลาออกมารับหน้าที่เป็นผู้รักษาความปลอดภัยให้กับบุตรหลานตระกูลใหญ่ หรือว่าครูสอนวิชาการต่อสู้ในเมืองโอดิน ซึ่งเขาคิดว่าถ้าทำเช่นนั้นจะมีเวลามาให้บิดามารดามากกว่า เมื่อเขาทำความสะอาดกระบี่เสร็จสิ้นก็สอดคืนฝัก จากนั้นนำกระบี่ยักษ์มาคาดเอาไว้ด้านหลัง ที่ฝักของกระบี่ยักษ์แกะสลักเป็นรูปเกล็ดน้ำค้างกำลังจะหยดจากใบไม้ ซึ่งน้ำค้างเกาะอยู่ที่ใบไม่สามารถหยดลงมาได้ เพราะหยดน้ำค้างถูกความเย็นจึงแข็งเป็นน้ำแข็ง กระบี่ยักษ์ของเขาจึงมีชื่อว่ากระบี่เกล็ดน้ำค้าง



เขาจูงม้าคู่ใจออกมาจากโรงเลี้ยงม้าข้างบ้านพักชั่วคราว บ้านที่เขายึดถือเป็นที่อยู่อาศัยระหว่างการปฏิบัติภารกิจ ไกลูบหัวม้าด้วยความเอ็นดูกล่าวว่า “เจ้าพายุ ครั้งนี้ต้องขอให้เจ้าช่วยอีกครั้งแล้วสินะ” เจ้าพายุแสนรู้ร้องเสียงดังตอบรับผู้เป็นนาย จากนั้นเขาจึงขึ้นขี่เจ้าพายุควบตรงออกจากเมืองไปทางทิศตะวันตก



ปฏิบัติการล่าขุนโจรก็เริ่มขึ้น



ในขณะเดียวกัน หญิงสาวลึกลับที่บังเอิญเจอกับลูทในป่าก็พบเห็นตราสัญลักษณ์ที่ตกจากตัวลูทลงสู่พื้น



พอหญิงสาวเห็นเช่นนั้นก็มีสีหน้าประหลาดใจ เธอเพ่งมองตราสัญลักษณ์ของลูทเทียบกับของตนเองที่ต้นคอ ก็พบว่ามีลักษณะเหมือนกันทุกประการ ทันใดนั้นจึงตัดสินใจช่วยเหลือลูทอีกแรงหนึ่ง



ตราสัญลักษณ์ทั้งสองทำจากโลหะสีแดงเลือดหมูแกะสลักเป็นรูปพระอาทิตย์ขนาดประมาณเหรียญกษาปณ์เหรียญหนึ่ง มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งนิ้ว ที่ขอบเหรียญตามแนวของเปลวเพลิงพระอาทิตย์เจาะเป็นรูกลมผูกคล้องไว้กับโลหะชนิดเดียวกันเส้นหนึ่ง โลหะเส้นนี้ถูกตีจนบางเฉียบเหมือนกับสร้อยทองคำที่มีน้ำหนักไม่เกินห้าสิบสตางค์ ตรงใจกลางของพระอาทิตย์มีตัวอักษรโบราณที่อ่านไม่ออกเขียนเอาไว้ทั้งสองด้าน โรสเองคล้องตราสัญลักษณ์นี้เอาไว้ที่คอตลอดมา



มีเสียงตะโกนดังมาจากทิศทางที่ลูทและนายทหารต่อสู้กันว่า “เจ้าหลงกลแล้ว”



นายทหารผู้นั้นจงใจเปิดช่องโหว่ที่แขนซ้ายให้ลูทเห็น เพื่อหลอกล่อให้ลูทจู่โจมเข้าไป พอลูทตวัดกระบี่จู่โจม นายทหารก็ใช้ข้อมือซ้ายปะทะเข้าไปที่คมกระบี่อย่างถนัดถนี่ เกิดเป็นเสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น นายทหารผู้นี้สวมปลอกแขนเหล็กไว้ใต้เครื่องแบบแขนยาวเป็นเครื่องป้องกันชนิดหนึ่ง ลูทคาดคิดไม่ถึงว่าใต้แขนซ้ายสวมปลอกแขนเหล็กสามารถใช้ต้านทานคมกระบี่ได้ นายทหารเห็นว่าอุบายของตนประสบผล จึงแทงหอกออกด้วยมือขวาไปที่ลูทอย่างไม่ออมแรงเอาไว้ เล็งผลเลิศในการปลิดปลงสังหารฝั่งตรงข้าม



เสียงคมมีดฝ่าอากาศดังขึ้นมาจากด้านหลังของลูท มีดบินสองเล่มลอยคว้างออกจากมือของหญิงสาวที่สะคราญโฉม พุ่งมาด้วยความเร็วสูงประดุจม้าป่า เล่มหนึ่งพุ่งใส่ข้อมือส่วนอีกเล่มหนึ่งพุ่งใส่ใบหน้าของนายทหารแม่นยำราวกับจับวาง นายทหารเห็นภัยจากมีดบินคุกคามจึงไม่กล้าฝืนแทงหอกใส่ลูทต่อไป เขาตัดสินใจละทิ้งหอกคู่มือเพื่อหลบมีดบินเล่มแรก แต่สภาวะกำลังที่เขาแทงออกไปยังคงอยู่ในตัวหอกก่อนจะปล่อยมือ ทำให้หอกพุ่งตรงเข้าหาลูทไม่หยุดยั้ง จากนั้นนายทหารชุดดำก็ใช้ข้อมือซ้ายก็ตวัดปลอกแขนเหล็กกลับมาป้องกันใบหน้าของตนเอง ปัดมีดบีนเล่มที่สองออกไปด้านข้าง ถึงแม้ว่าเขาจะป้องกันตนเองได้สำเร็จ แต่ก็ทำให้เสียจังหวะไปครู่หนึ่ง



ด้วยการช่วยเหลือของหญิงสาวลึกลับ หอกปลิดชีพก็เปลี่ยนจากการทุ่มแทงออกอย่างสุดแรง เหลือเพียงแรงเฉื่อยที่เกิดจากการปล่อยมือกลางครัน ทำให้พลังการจู่โจมอ่อนโทรมลงไปกว่าครึ่ง ลูทฉวยโอกาสในเสี้ยววินาทีคับขัน เอี้ยวตัวหลบได้ทันท่วงที หอกพุ่งเฉียงเฉียงผ่านตัวลูทไปด้วยความหวาดเสียว ปักเข้ากับต้นไม้ใหญ่ด้านหลังลึกเข้าไปร่วมสามนิ้ว ลูทถึงกับหายใจไม่ทั่วท้องลอบคำนึงในใจว่าโชคช่วย วินาทีเมื่อครู่นับว่าเขาก้าวเท้าเข้าสู่ประตูยมโลกไปแล้วครึ่งก้าว



จนถึงบัดนี้บลูที่อยู่ด้านข้างก็ออมแรงจนพอลุกขึ้นยืนไหว เมื่อเห็นนายทหารชุดดำเสียจังหวะจากมีดบินสองเล่ม เขาฝืนใจเกร็งกำลังที่รวบรวมมาทั้งหมดร่ายเอลพสุธากัมปนาท ทำลายพื้นดินที่นายทหารนั้นยืนอยู่ วงแหวนสีเหลืองจางๆเกิดจากเอลที่บลูร่าย แสดงให้เห็นว่าพลังของบลูอ่อนโทรมลงไปมาก แต่อย่างไรก็ตามเอลของบลูกับมีดของหญิงสาวลึกลับคนนั้นทำให้นายทหารชุดดำต้องชั่งน้ำหนักใหม่ การปฏิบัติงานนี้มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บอยู่สูง เขาพบว่ามีโอกาสไม่ถึงครึ่งที่จะจัดการคนทั้งสามพร้อมๆกันจึงจำต้องตัดสินใจล่าถอย



นายทหารพุ่งไปหยิบหอกยาวที่ต้นไม้จากนั้นก็กล่าวว่า “ถือว่าพวกเจ้าโชคดี” เป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่จะล่าถอยกลับไปโดยไม่เป็นอันตราย



เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่เกินหนึ่งนาทีดูไปช่างน่าหวาดเสียวนัก ความเป็นกับความตายอยู่ใกล้กันถึงเพียงนั้น



เบื้องหน้าที่ไกเห็นเป็นโรงสีข้าวร้างแห่งหนึ่งซึ่งพวกโจรสุนัขป่านำสินค้าที่ปล้นชิงได้มาเก็บรวบรวมไว้



ไกลงจากหลังเจ้าพายุสั่งให้มันรอคอยอยู่ในเขตปลอดภัย จากนั้นจึงค่อยๆหลบสายตาของยามเฝ้าระวังเข้าไปในเขตโรงสีข้าว



หนึ่ง สอง สาม ... ไกพบว่ามียามเฝ้าระวังอยู่เบื้องนอกเป็นจำนวนเจ็ดคน พวกมันทำหน้าที่เดินตรวจตรารอบๆโรงสี เขาสอดส่องสายตาสำรวจที่กำแพงอิฐเบื้องบนก็พบเห็นยามยืนอยู่อีกสามคนรวมเป็นทั้งหมดสิบคนด้วยกัน คนหนึ่งยืนนิ่งเฝ้าอยู่บนระเบียง อีกสองคนเดินตรวจสอบตามระเบียงเฝ้าระวังตลอดเวลา ด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดทำให้ไกไม่มีโอกาสที่จะหลบสายตาของยามทั้งหมด กระโดดข้ามกำแพงอิฐสูงสองเมตรเข้าไปได้เลย ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาเย็นที่แสงสลัวแล้วก็ตาม



เป็นโชคดีของไกที่มีแมวตัวหนึ่งเดินเพ่นพ่านอยู่แถวนั้นพอดี เขาจึงเกิดไหวพริบใช้แผนเบี่ยงเบนความสนใจของทหารยาม ไกงอนิ้วดีดก้อนหินเล็กๆเข้าไปที่แมวตัวนั้น ด้วยแรงดีดของก้อนหินทำให้แมวเจ็บปวด มันวิ่งตะบึงไปด้านหน้าพร้อมกับร้องเมี๊ยวออกมาด้วยเสียงอันดัง



ทหารสามคนที่ยืนเฝ้าระวังบนระเบียงทางฟากของไกเบนความสนใจไปยังแมวนั้นชั่วขณะ เพียงเวลาชั่วขณะเดียวก็เกินพอแล้วที่ยอดฝีมืออย่างไกจะอาศัยแรงดีดจากข้อเท้า กระโดดรวดเดียวข้ามกำแพงที่สูงสองเมตรลอบเข้าประชิดโรงสีข้าวได้สำเร็จ



ไกหลบอยู่ที่กองฟางด้านข้างที่เขาตรวจสอบแล้วว่าจุดอับสายตา ทหารยามด้านหน้าโรงสีและด้านบนระเบียงมองไม่สามารถมองเห็นได้ กองฟางสองสามกองเป็นสิ่งกำบังสายตาจากทหารที่เดินตรวจรอบนอกได้อย่างดี เขาเอาหูแนบโรงสีข้าว ได้ยินเสียงคนสองคนคุยกันอย่างแผ่วเบา ไกคาดว่าทั้งสองต้องยืนอยู่ด้านในโรงสีห่างจากไกเกินกว่ายี่สิบเมตร ด้านในโรงสียังมีฟางข้าวกันเป็นชั้นๆถึงแม้ว่าจะเป็นชนชั้นที่มีฝีมือเช่นไกก็ไม่สามารถดักฟังคำสนทนาได้



ไกวิ่งปราดไปยังประตูหลังรวบรวมแรงไว้ที่สันมือขวาเมื่อเขาพบว่ามียามเฝ้าอยู่หนึ่งคน ไกรอให้ยามนั้นกวาดสายตาไปอีกทางหนึ่งแล้วจึงพุ่งไปใช้สันมือกระแทกต้นคอของยามเฝ้าประตูหลัง ยามเอามือกุมต้นคอล้มลงอย่างไร้เสียง ไกลากยามที่หมดสติเข้าไปด้านในโรงสีข้าวจัดแจงให้หลบอยู่ที่ด้านหลังกองฟางกองหนึ่ง จากนั้นตัวเขาเองจึงก้าวไปตามเสียงของคนสองคนที่คุยกัน



ไกรู้ว่าปฏิบัติการต่อจากนี้จะพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด ทุกฝีก้าวต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดซุ่มเสียงผิดปกติ หัวหน้าโจรสุนัขป่าราเกซนี้มีฝีมือไม่ใช่ชั่ว พวกมันก่อหวอดอยู่ทางตะวันตกนี้มานานคอยดักปล้นชิงทรัพย์สินหรือสินค้าต่างๆจากพ่อค้าวาณิชย์ที่เดินทางเข้ามาขายทั้งเมืองโอดินและเจนีสเหนือทำให้ผู้คนหวาดหวั่น พ่อค้าทั้งหลายต้องใช้ทรัพย์สินจำนวนมากจ้างกองทหารมาคุ้มกันหรือจ้างสำนักคุ้มกันภัยมาป้องกัน ราคาของการคุ้มกันจะคิดจากราคาสินค้าทั้งหมดแล้วเพิ่มไปอีกร้อยละยี่สิบทำให้เกิดวิกฤตการณ์ข้าวยากหมากแพง ชาวเมืองทั้งเจนีสเหนือและโอดินต่างได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า



ทางการท้องถิ่นของทั้งสองเมืองเคยนำกำลังล้อมปราบปรามถึงสองครั้งแต่ไม่สามารถกำราบกองโจรกองนี้รวมไปถึงหัวหน้าของมันได้ การจับกุมทั้งสองครั้งต่างก็ถูกกองโจรสุนัขป่าตีสวนกลับย่อยยับอับปรา จนถึงประมาณเดือนก่อนกองปราบท้องถิ่นตัดสินใจเข้าปราบปรามเป็นครั้งที่สาม พวกเขารู้ตัวดีว่าไม่สามารถต่อกรกองโจรนี้ได้จึงแจ้งหนังสือขอความร่วมมือไปยังผู้ตรวจการภาค ขอให้มือปราบชั้นหนึ่งอย่างไกมาช่วยเหลือซึ่งเขาก็ให้ความร่วมมือด้วยดี ทั้งสองฝ่ายเพียรสร้างโอกาสโดยใช้แผนการต่างๆเพื่อทำลายกองโจรสุนัขป่านี้ให้สิ้น การสืบข่าวเป็นไปอย่างยากลำบากจวบจนเมื่อหลายวันก่อน พวกเขาสืบเสาะได้ว่ากองกำลังบางส่วนของโจรสุนัขป่าเตรียมไปดักปล้นชิงทรัพย์พ่อค้าทางถนนที่ติดต่อระหว่างเมืองโอดินและเจนีส



ไกจึงดำเนินการใช้แผนซ้อนแผน ให้ข่าวลวงว่าจะมีพ่อค้ารายใหญ่เดินทางย้ายถิ่นฐานจากเมืองโอดินไปยังเมืองเจนีสนำทรัพย์สินติดตัวไปจำนวนมาก จากนั้นให้มือปราบท้องถิ่นของทั้งสองเมืองปลอมตัวเป็นกองคาราวานพ่อค้าไปตบตา ดึงกำลังส่วนใหญ่ของกองโจรไป ส่วนตัวเขาดำเนินแผนลอบเข้ามาในรังโจรเพื่อปฏิบัติการจับตายหัวหน้าใหญ่ของพวกมัน ดังนั้นขุนโจรราเกซจึงเป็นเป้าหมายที่เขาจะพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด



บลูหมดเรี่ยวแรงนอนสลบไสลไม่ได้สติหลังจากที่ใช้พลังเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่บังคับให้อีกฝ่ายล่าถอยไป โชคดีที่นายทหารชุดดำจากไปก่อนจึงไม่เห็นสภาพของบลูในตอนนี้



ลูทวิ่งตรงเข้าไปประคองบลูขึ้นพาดไหล่ หันหน้าไปถามหญิงสาวลึกลับ “ขอบคุณที่เจ้าช่วย ไม่ทราบว่าเจ้าชื่ออะไร”



หญิงสาวลึกลับตอบว่า “นี่ยังไม่ใช่ที่ที่จะสนทนา พวกเราต้องรีบไปยังหมู่บ้านก่อน” จากนั้นเธอจึงก้มลงเก็บตราสัญลักษณ์ที่ลูททำตกไว้แล้วยื่นให้ “นี่ของเจ้า เก็บไว้ให้ดีแล้วตามข้ามา”



“ขอบคุณ” ลูทใช้อีกมือที่เหลือรับตราสัญลักษณ์มาเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อแล้วจึงติดตามนางไป



ทั้งสองเดินกลับมาถึงต้นไม้ใหญ่ที่ลูทเดินวนอยู่สามรอบนั้น ลูทประหลาดใจแต่ก็พอจะทำความเข้าใจได้ว่าจุดที่เค้าเดินสำรวจทำเครื่องหมายเอาไว้นั้นต้องไม่ผิดพลาดแน่นอน ที่นั่นจะต้องเป็นทางเข้าของหมู่บ้านเงาจันทร์ที่เขาค้นหาแต่ว่ากลไกการเข้าไปจะเป็นอย่างไรนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขาอับจนปัญญา



หญิงสาวหยิบป้ายผนึกสีเขียวเข้มเป็นรูปห้าเหลี่ยมขนาดประมาณฝ่ามือของเธอออกมาจากเสื้อ เธอนำเอาป้ายผนึกชิ้นนั้นวางลงไปบนตอไม้ด้านข้างต้นไม้ใหญ่ที่ลูททำเครื่องหมายเอาไว้ ปรากฏเป็นแสงสว่างสีเขียวเรืองรองขึ้นมาคราหนึ่ง ต้นไม้แถบนั้นต่างก็ขยับกิ่งก้านอย่างน่าอัศจรรย์ แนวไม้รกครึ้มที่ไม่มีทางผ่านก็ได้อันตรธานหายไป เห็นแนวต้นไม้ใหญ่หลายต้นเรียงต่อกันเป็นระยะทางเกือบร้อยเมตร กิ่งไม้ของต้นไม้แต่ละต้นแผ่มารวมกันสร้างเป็นสะพานไม้มีชีวิตขึ้นสะพานหนึ่งในพริบตา เมื่อมองไปสุดปลายสะพ้านไม้ก็จะเห็นเป็นถนนที่ทอดยาวเข้าสู่หมู่บ้านในที่สุด



ลูทยืนอ้าปากตาค้างอยู่ด้านข้างนึกไม่ถึงว่าโลกนี้จะมีวิชาปกปิดทางเข้าที่แยบยลถึงเพียงนี้



“ยืนอยู่ที่นั่นทำไม รีบเข้ามาสิ” หญิงสาวหันมากล่าวกับลูทเรียกให้ตามเข้าไปโดยเร็ว



ภาพวิวทิวทัศน์ในหมู่บ้านทำให้ลูทรู้สึกขัดแย้งกันอย่างบอกไม่ถูก หมู่บ้านที่เห็นเบื้องหน้านี้กลับเป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบเช่นเดียวกับหมู่บ้านสวนเชอร์รี่ของเขา ชั้นในสุดของหมู่บ้านเป็นบ้านเรือนสิบกว่าหลังคาเรือนทุกหลังเชื่อมต่อกันด้วยถนนเส้นเดียวยาวตรงตั้งแต่ปากทางเข้าจนไปถึงส่วนในสุดของหมู่บ้าน ทางด้านหลังบ้านแต่ละบ้านมีพื้นที่โล่งกว้างเป็นพื้นที่การเกษตรทั้งแปลงปลูกพืชผลไม้หรือการเลี้ยงสัตว์เอาไว้ใช้งานหรือเพื่อรับประทานอาหาร จึงเห็นว่าหมู่บ้านนี้มีเศรษฐกิจที่สามารถพึ่งพาตนเองได้แม้จะไม่ได้ติดต่อกับโลกภายนอก ชั้นนอกสุดถัดจากแปลงเกษตรและคอกสัตว์เลี้ยงเป็นคลองส่งน้ำที่ขุดล้อมบ้านทุกหลังเอาไว้โดยรอบเปรียบเสมือนมีคูล้อมรอบหมู่บ้านอีกชั้นหนึ่งแต่ที่แบบนี้กลับซ่อนอยู่ในป่าอันรกทึบซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย



“เอ่อ ... นี่” ลูทเอ่ยปาก



“ข้าชื่อโรซาไลน์ เรียกสั้นๆว่าโรสก็ได้” หญิงสาวตอบ



ลูทกล่าวขอโทษครั้งหนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “ข้าชื่อลูท ที่นี่คือหมู่บ้านเงาจันทร์ใช่ไหม”



โรซาไลน์ทำหน้าสงสัยถามกลับไปว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรน่ะ”



ลูทมีสีหน้ายินดีเมื่อรู้ว่าตนเองมาถึงที่แล้วจึงกล่าวตอบว่า “พอดีพ่อของข้าบอกให้มาทำธุระบางอย่างกับเพื่อนของพ่อที่อาศัยอยู่ที่นี่ ... ว่าแต่นี่พวกเรากำลังจะเดินไปที่ไหน”



โรสตอบว่า “ไปที่ตึกหัวหน้าหมู่บ้านก่อน อยู่ด้านในสุดของถนนหลักเส้นนี้ หัวหน้าหมู่บ้านเป็นลุงของข้าเอง ... เพื่อนของท่านเป็นอย่างไรบ้าง” หญิงสาวหันหน้าไปมองบลูที่หมดสติอยู่บนบ่าของลูท



ลูทมองหน้าบลูที่สลบอยู่คราหนึ่งกล่าวตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันท่าทางมันจะใช้เอลจนหมดแรงเลยสลบไป เจ้าพอจะหาห้องพักให้เขาได้สักห้องไหม”



โรสกล่าวว่า “นั่นไม่มีปัญหา ที่ตึกหัวหน้าหมู่บ้านมีแพทย์อยู่ท่านหนึ่ง ข้าจะขอให้เขาดูอาการเพื่อนเจ้า ให้ข้าช่วยพยุงเขาอีกแรงหนึ่งดีกว่า”



ลูทกล่าวขอบคุณโรซาไลน์ ทั้งสองช่วยกันประคองบลูรีบเดินไปยังตึกหัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่ด้านในสุด



เมื่อไกก้าวอย่างไร้เสียงเลียบเคียงเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ตระเตรียมหาที่ซ่อนตัวเอาไว้ในระยะลงมือ จุดที่เหมาะสมไม่ควรห่างจากต้นเสียงเกินสิบเมตร



เมื่อเข้าถึงระยะไกก็หยุดอยู่หลังกองฟางข้างเคียง เพื่อฟังคำสนทนาและหาจังหวะลงมือการลงมือลอบจับกุมหัวหน้าโจรรายนี้ พอมาถึงจุดนี้มิใช่ว่าไกจะบุกเข้าจับกุมอย่างผลีผลาม เขาต้องอาศัยจังหวะจะโคนที่ถูกต้องให้ฝั่งตรงข้ามไม่ทันระวังมากที่สุด เพื่อเผด็จศึกในเวลาอันสั้น



ด้วยความสามารถของไกสามารถฟังเสียงที่ห่างในระยะสิบเมตรได้อย่างสบาย แว่วเสียงโจรคนหนึ่งดังมาว่า “ครั้งนี้พวกเราควรจะกวาดทรัพย์มาได้กว่าสามร้อยเหรียญทอง สายสืบรายงานเข้ามาในชั่วโมงก่อนว่าขบวนพ่อค้ารายนี้อ้วนท้วนพอสมควร ท่านรองหัวหน้ายกกองโจรไปเกือบร้อยคน ไม่ว่าขบวนพ่อค้าพวกนั้นมีจำนวนหกสิบกว่าคน ถึงจะจ้างสำนักคุ้มกันภัยมาครึ่งหนึ่งพวกเราก็ยังรับมือได้สบาย ดูท่าพวกเราจะลงมือสำเร็จเป็นแน่แท้”



หัวหน้ากองโจรสุนัขป่าราเกซยิ้มอย่างพึงพอใจ หัวเราะหึหึแล้วกล่าวว่า “ทำได้ดีมาก ถ้าหากงานนี้สำเร็จด้วยดี ข้าจะให้พวกเจ้าได้รับส่วนแบ่งคนละห้าเหรียญทอง” ลูกน้องคนนั้นดีใจมากจึงรีบขอบคุณหัวหน้าอย่างลนลาน



ขุนโจรราเกซเป็นชายวัยสามสิบกว่าปีไว้หนวดเคราครึ้ม รูปร่างแข็งแรงกำยำปล่อยผมสีดำยาวสยาย ที่ใต้ดวงตามีแผลเป็นจากอาวุธเช่นเดียวกับที่ลำแขน เสื้อผ้าที่เขาใส่เป็นชุดสีดำสวมเกราะสีเงินที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง ที่ศีรษะโพกผ้าสีแดงเป็นเครื่องหมายระบุว่าเป็นพวกพ้องเดียวกันเช่นเดียวกับโจรคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าคนทั่วไปมาพบเห็นโดยไม่ได้ยินคำสนทนาเมื่อครู่ เมื่อดูจากบุคลิกก็รู้ว่าเป็นหัวหน้าโจรทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย



ทันใดนั้นมีลูกน้องโจรคนหนึ่งเปิดประตูทางด้านหน้า วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนกล่าวว่า “แย่แล้วท่านหัวหน้า”



ไกตระเตรียมพร้อมฝ่าวงล้อมออกไปในทันที เขาเกรงว่าร่อยรอยของตนเองจะถูกเปิดโปง แผนการที่ตนเองลงทุนลงแรงใช้ความพยายามถึงเกือบเดือนจะต้องมาล้มเหลวในขณะนี้หรือ



ลูกน้องโจรคนนั้นกล่าวต่อไป “สายสืบส่งพิราบสื่อสารมาพร้อมข่าวด่วนว่า พ่อค้าเหล่านั้นเป็นมือปราบปลอมตัวมาขอให้ท่านหัวหน้าส่งกำลังไปช่วยเหลือด่วน มือปราบซุ่มกองกำลังเอาไว้ที่ชายป่าร่วมสองร้อยคน พี่น้องของท่านรองหัวหน้าหลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งกำลังหนีเตลิดมาทางด้านนี้”



“ว่ากระไร” ราเกซตะลึงอยู่สักพักอุทานออกมาอย่างเหนือความคาดหมาย



ไกเห็นว่าโอกาสนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุดที่หามิได้อีกแล้ว เขาลงมือในบัดดล กระบี่เกล็ดน้ำค้างลอยเข้ามาอยู่ในมืออย่างไร้เสียง เขาคว้าจับด้ามกระบี่ด้วยสองมือพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่น่าตระหนก จังหวะที่ราเกซรับรู้ข่าวร้ายเป็นจังหวะที่คลายการป้องกันตัวลง ประสาทสัมผัสต่างๆถูกความตกตะลึงดึงดูดไปวูบหนึ่ง วินาทีนี้จึงเหมาะสมต่อการจู่โจมที่สุด



ราเกซที่เก่งกาจกลับมีปฏิกิริยาโต้ตอบเมื่อไกพุ่งเข้าใกล้ ในช่วงระยะห่างสามเมตรมันก็รู้ตัวว่าถูกลอบทำร้าย ชักดาบโค้งขึ้นถือมั่นตวัดกลับหลังไป



เสียงโลหะกระทบกันดังเคร้ง กระบี่ยักษ์ของไกที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูง กระทบกับดาบโค้งของราเกซที่รับมืออย่างฉุกละหุก ด้วยสถานการณ์ก็รู้ว่าไกเป็นฝ่ายมีเปรียบอย่างมาก แต่ไกจะสูญเสียความมีเปรียบได้ทุกเมื่อถ้าโจรลูกสมุนด้านนอกรู้ว่ามีคนบุกเข้ามาแล้วยกกำลังยี่สิบกว่าคนมาล้อมกักเขาเอาไว้ ด้วยแรงของไกที่พุ่งมาทำให้ร่างของราเกซเซถอยหลังไปสองก้าว เอลในร่างปั่นป่วนได้รับความบอบช้ำภายใน



อย่างไรก็ตามมันเองไม่ใช่ว่าได้รับการยกย่องให้เป็นหัวหน้าโจรเพราะกำลังเท่านั้น มันบุคคลที่มีสมองคนหนึ่ง ในยามคับขันราเกซยังสามารถควบคุมจิตใจวิเคราะห์สถานการณ์เบื้องต้นได้ เมื่อเจอชนชั้นยอดฝีมือลอบทำร้าย ถ้าหากหลบหนีก็จะทำให้เสียจังหวะตอบโต้โดนรุกไล่อยู่ฝ่ายเดียว นอกจากจะหนีไม่รอดแล้วก็อาจจะบาดเจ็บล้มตายได้ แต่ถ้าต้านรับอยู่สักพักหนึ่งรอให้ลูกน้องตนเองเบื้องนอกเข้ามาช่วยก็จะมีหนทางรอดอยู่บ้าง ดีไม่ดีอาจจะถึงขั้นจับตัวคนผู้นี้มาเค้นถามเอาข่าวสารที่สำคัญได้ พอราเกซคิดได้เช่นนั้น จึงกัดฟันตอบโต้กลับไปหนึ่งดาบ



ไกพบว่าขนาดเขาทุ่มกำลังจู่โจมโดยอีกฝ่ายไม่ทันระวังตั้งตัว ยังไม่ได้ผลเท่าที่คาดเอาไว้ หัวหน้าโจรรายนี้มีฝีมืออยู่ท่าสองท่าจริงๆ เช่นนี้ต่อให้มือปราบท้องถิ่นล้อมปราบมันอีกสิบครั้งก็คงจะไม่เป็นผลสำเร็จ ครุ่นคิดส่วนครุ่นคิดกระทำส่วนกระทำ ไกคลายมือขวาออกเปลี่ยนเป็นจับกระบี่ด้วยมือซ้ายเพียงข้างเดียว เขารวบรวมเอลเอาไว้ในมือขวาเปล่งเป็นแสงสีน้ำเงิน เมื่อเห็นดาบราเกซโต้กลับมามือซ้ายของเขาก็ส่งกระบี่เข้าต้านรับ จังหวะที่กระบี่ปะทะดาบเขาใช้มือขวาแตะไปที่คมกระบี่ยักษ์ ส่งเอลน้ำแข็งซึ่งเป็นเอลระดับสองผ่านไปยังปลายดาบของราเกซ



เอลระดับสองเกิดจากการหล่อหลอมเอลสองประเภทที่ไม่ตรงข้ามกันเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นเอลชนิดใหม่ขึ้นเรียกว่าเอลระดับสอง ยกตัวอย่างเช่นการหล่อหลอมเอลไฟกับเอลลมเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นเอลสายฟ้า หรือการหล่อหลอมเอลน้ำกับเอลดินเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นเอลไม้ ในที่นี้ไกใช้เอลน้ำแข็งซึ่งเกิดจากการหลอมรวมกันของเอลน้ำและเอลลม



ในโลกนี้มีบุคคลพิเศษอยู่ไม่กี่คนที่มีสายเลือดของเอลระดับสองโดยตรง ทำให้สามารถร่ายเอลระดับสองได้โดยไม่ต้องผ่านการหลอมรวมเอลสองประเภทเข้าด้วยกัน นับว่าไกเป็นหนึ่งในบุคคลประเภทนั้น



“มือหิมะ ไก” ราเกซกล่าวอย่างตกใจเมื่อเขาถูกความเย็นแทรกซึม



เอลน้ำแข็งที่ไกใช้เรียกว่าหิมะเยือกแข็ง เอลหิมะเยือกแข็งนี้เป็นเอลที่ทำให้เกิดความเย็นเป็นน้ำแข็งเกาะเข้าที่ตามร่างกาย ทำให้ผู้ที่ถูกเอลแทรกซึมเกิดอาการชาและมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ช้าลง เขาคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าก่อนแล้วว่าราเกซจะต้องดำเนินแผนถ่วงเวลาให้ลูกน้องมาช่วย เขาเตรียมเอลน้ำแข็งเป็นแผนตอบโต้ เมื่อราเกซโดนเอลนี้เข้าไปจึงทำให้ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ตามปรารถนาชั่วขณะ



มือของราเกซพลันปรากฏเป็นไอร้อนสีแดงขึ้น เป็นสัญลักษณ์ของเอลที่สี่คือเอลแห่งไฟ ราเกซตั้งใจจะใช้ความร้อนละลายความเย็นซึ่งแผ่ซ่านมาจากท่าหิมะเยือกแข็ง แต่เขาจนใจที่คำนวณผิดไปครั้งหนึ่งคาดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีความสามารถเช่นนี้ เอลแห่งไฟไม่สามารถสร้างความอบอุ่นได้ทันท่วงที เขายังช้าไปอยู่จังหวะหนึ่ง



“สายไปแล้วราเกซ” ไกกล่าว พร้อมกับใช้ตัวกระบี่ยักษ์กระแทกเข้าไปที่ดาบโค้งของราเกซเป็นคำรบสอง พลังความเย็นถ่ายทอดจากมือขวาสู่ตัวกระบี่เกล็ดน้ำค้าง จากตัวกระบี่ยักษ์สู่ดาบโค้ง แทรกซึมผ่านคมดาบเข้าสู่ร่างกายราเกซ ทำให้หัวหน้ากองโจรสุนัขป่ารายนี้กระเด็นไปด้านหลัง ลมหายใจติดขัด เลือดลมเป็นน้ำแข็งขาดใจตายในบัดดล



เมื่อยอดฝีมือเผชิญหน้ากันการคำนวณผิดไปครั้งเดียวอาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิต



ในการต่อสู้ครั้งนี้ที่ดูเหมือนว่าจะง่ายดาย แต่ถ้าไกสู้กับราเกซตรงๆฝีมือของขุนโจรก็คงจะไม่เป็นรองมากนัก ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถสังหารราเกซได้แต่ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาหัส จากเหตุการณ์ปัจจุบันแสดงว่าไกพิชิตราเกซด้วยปัญญาโอกาสและโชคอีกเล็กน้อย ทำให้ดูเหมือนพิชิตลงได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ไกต้องใช้การวางแผนแรมเดือนกว่าจะสร้างโอกาสให้เขาลอบจู่โจมครั้งนี้ได้



โจรเล็กโจรน้อยที่อยู่รอบข้างยังตะลึงกับการต่อสู้ที่ดุเดือดแต่สิ้นสุดกันเพียงสองกระบี่เท่านั้น หัวหน้าของพวกมันก็ได้ล้มตายลง ฝูงโจรถึงกับไมเชื่อสายตาตัวเอง หวาดกลัวไกราวกับยมฑูต พวกมันแตกฮือกันออกไปรอบด้าน ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเสี่ยงตายมาสู้กับไกเพื่อแก้แค้นแม้สักรายเดียว นี่เรียกว่ามิจฉาชีพคงอยู่ร่วมกันเพียงผลประโยชน์เบื้องหน้าถ้าขาดผู้นำก็ไม่มีผู้ใดจะเอื้อประโยชน์ให้ พวกมันไม่มีความจงรักภักดีต่อขุนโจรราเกซแต่อย่างใด เพียงแต่จงรักภักดีต่อเงินทองเหรียญกษาปณ์เท่านั้น พอหัวหน้าสิ้นพวกมันก็ชิงหนีเอาตัวรอดกระจัดกระจายกันไปทุก
Fiction

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา