ฟิก Fallen Frontier อ่านแล้ว ช่วยวิจารณ์ให้เราด้วยน้อ กำลางต้องการคนช่วยน้อออ!!

ปีศักราชAS(อาฟเตอร์ แซงจูรี่)มนุษย์ได้เริ่มทำการบุกเบิกอวกาศเพื่อทำการค้นหาทรัพยากรต่างๆที่จำเป็นหลังจากการที่มนุษย์ได้ใช้ทรัพยากรบนโลกจนร่อยหลอไปอย่าง ด้วยความที่ประเทศต่างๆต้องการทรัพยากรในการใช้ในประเทศของตนเองด้วยจึงทำไห้เกิดการรวมกลุ่มกันเป็นรัฐขนาดใหญ่หลัก2รัฐ คืออัสเซร่า(USALA) และไลทาน(Rightan)ทั้งสองต่างเป็นมหาอำนาจด้านการทหารและเศรษฐกิจอย่างมากโดยที่ประเทศขนาดเล็กไม่อาจเทียบได้ ซึ่งเปรียบเสมือนทั้งสองประเทศนี้เป็นมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในอวกาศ



ปีAS10 บนโลกได้ค้นพบสินแร่พิเศษที่มีจำนวนน้อยมากในชื่อที่เรียกว่า เบลโทนิล ซึ่งมีคุณสมบัติในการให้พลังงานที่มหาศาลซึ่งมากกว่าพลูโตเนียมถึง8เท่าอีกทั้งยังควบคุมได้ง่ายกว่าจึงทำให้การพัฒนาด้านอวกาศนั้นเจริญก้าวหน้าไปแบบก้าวกระโดดแม้จะเป็นเช่นนั่นแต่เบลโทนิลก็มีจำนวนน้อยมากถ้าเทียบกับสินแร่อื่นๆในประเภทเดียวกันจึงทำให้การครอบครองอยู่ในวงประเทศมหาอำนาจเท่านั้นการแย่งชิงเพื่อสร้างฐานให้ตนเป็นประเทศมหาอำนาจจึงเริ่มขึ้น



ปีAS11 กลุ่มประเทศมหาอำนาจเริ่มทำการสร้างอาณานิคมเพื่อการอยู่อาศัยบนอวกาศโดยมีแกนนำคือกลุ่มประเทศมหาอำนาจขนาดใหญ่คืออัสเซร่า(USALA)และไลทาน(Rightan)ซึ่งทำให้การพัฒนาด้านสำรวจอวกาศนั้นรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วอีกทั้งยังเกิดดาวเทียมอาณานิคมใหม่ๆขึ้นอีกมากมาย



ปีAS25ได้มีการใช้เครื่องจักรรูปแบบมนุษย์ซึ่งรูปแบบนี้มีความหลากหลายในการใช้งานได้หลากหลายกว่าเครื่องจักรแบบอื่นเรียกเหล่านั้นว่าโซลเยอร์(Solder)ซึ่งหลังจากนั้นก็มีการพัฒนาการของโซลเยอร์เพื่อใช้ไห้ได้อเนกประสงค์ยิ่งขึ้นเพื่อใช้งานในด้านอื่นๆด้วย

เอทริเฟรก-คือมนุษย์ทดลองที่ทางสองประเทศได้ทำการทดลองขึ้นมาจากแนวคิดของนักพันธุวิศวกรรมคนหนึ่งที่ให้แนวคิดนี้ออกมาเพื่อใช้พวกเขาเป็นต้นแบบของมนุษย์ที่สามารถป้องกันการระบาดของโรคที่แพร่กระจายในอวกาศแต่ภายหลังในการทดลองด้วยความทนทานของร่างกายกลับถูกนำไปทดลองเพื่อการทหารแทนโดยที่ทั้งสองฝ่ายอ้างว่าเพื่อปกป้องจากอีกฝ่ายที่ทำการทดลองเช่นเดียวกันไปแล้ว



ปีศักราชASที่30อัสเซร่าและไลทานได้รบกันเนื่องจากปัญหาสืบเนื่องจากมีการแย่งชิงดาวเคราะห์ที่มีทรัพยากรในการพัฒนาเทคโนโลยีทางอวกาศ ซึ่งการรบเป็นการรบประปรายไม่มากนักจนกระทั่งสังฆราชที่ทางไลทานส่งไปเป็นผู้แทนในการเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีไกล่เกลี่ยปัญหาทั้งสองฝ่ายถูกสังหารจากพวกหัวรุนแรงในอัสเซร่า จึงส่งผลให้ทำให้สงครามที่มีวี่แววจะสงบรุนแรงขึ้นทันตา



ปีศักราชที่ASที่39 ซึ่งเป็นช่วงท้ายของสงคราม หลากหลายประเทศได้แยกตัวเป็นอิสระจากมหาอำนาจทั้งสองประเทศจนเกิดประเทศเล็กประเทศน้อยขึ้นมากมายซึ่งบางประเทศก็ได้รวมกลุ่มกันจนเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นและในขณะที่เสียงเรียกร้องจากมนุษย์ทั่วโลกนั้นก็บ่งบอกเจตนาในการต่อต้านสงคราม

เมื่อเป็นเช่นนั้นรัฐบาลในการนำของผู้นำทั้งสองที่ใช้ระบบการปกครองด้วยความเห็นของตนฝ่ายเดียวต้องยุติบทบาทลง ขณะเดียวกันที่โลกซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างเริ่มได้พักผ่อนหลังจากสนธิสัญญาอิวิเดนส์ที่จำกัดการครอบครองและการใช้ทรัพยากรจนทำให้หลายประเทศยุติการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากโลกแล้วยังมีใจความถึงการจำกัดการพัฒนาอาวุธ รวมทั้งเอทริเฟรกด้วยซึ่งโรงงานในการสร้างเอทริเฟรกเพื่อการทหารมากมายได้ถูกทำลายลงแต่การควบคุมของสนธิสัญญานี้ก็ยังไม่ได้ทำให้ทั้งสองฝ่ายนั้นยุติความขัดแย้งลงจริงๆเป็นเพียงแต่รักษาระดับความสัมพันธ์กันแบบหลวมๆเท่านั้น



และในปีASที่40 ท่ามกลางซากปรักหักพังของเมืองกลางดาวเทียมอาณานิคมของประเทศเล็กๆแห่งหนึ่งชายชุดคลุมสีดำสนิทในร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผล นั้นปัดซากเศษอิฐเศษปูนที่วางระเกะระกะทิ้งไปพร้อมกับมองดูเหล่าโซลเยอร์ที่บินผ่าน ณ ที่แห่งนั้นไปด้วยแววตาที่เกรี้ยวกราด

–แค่นี้... ยังไม่สาแกใจของพวกแกอีกใช่มั้ย!?- เสียงนั้นดังก้องไปหาทั่วทุกคนในบริเวณนั้น –เอาสิ ชั้นจะทำให้พวกแกสมปรารถนาเอง ด้วยหายนะที่พวกแกต้องเผชิญด้วยกันทั้งหมดนี่ล่ะ!!-

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

Session 01 ลางบอกเหตุจากฝันร้าย



ปีศักราชASที่ 45 วันที่ 29 มกราคม

ท่ามกลางหมอกที่ขาวโพลนเด็กหนุ่มเดินตามเส้นทางที่ตนเองไม่รู้จักร่างของเขาผ่านกลุ่มหมอกที่หนาก่อนที่จะเดินไปชนเข้ากับบางสิ่ง

-ชั้นจะปกป้องเธอเอง-ชายผู้ที่มีดวงตาสีครามประกาศคำพูดของตนเองกับเด็กสาวที่อยู่ใกล้กับเขาพร้อมทั้งจับมือเธอเอาไว้

-นี่มันชั้นนี่- เขาบอกกับตัวเองเช่นนั้นขณะที่เห็นภาพที่เลือนรางจากอดีตชายหนุ่มยังคงมองเห็นร่างของตนต่อไปก่อนที่จะเห็นหญิงสาวผมสีน้ำตาลค่อยๆเอ่ยคำพูดของตนออกมา

-ขอบใจนะเร ชั้นเชื่อ เชื่อในคำพูดของนาย-เธอกล่าวริมฝีปากยิ้มออกน้อยๆ - เพียงแต่!? นายสัญญาแบบนี้แล้วถึงปกป้องไม่ได้ล่ะ-เลือดสีแดงสดเริ่มย้อมลงมาจากปลายเส้นผมของเธอจนกระทั่งถึงมือของเด็กหนุ่ม

– อะไรกันน่ะ!!-เขายังตะลึงกับภาพที่เห็นทั้งจากมือของร่างที่เขาเห็นและมือของตนที่ย้อมไปเลือดสีแดงสีแดงฉาน

-นี่มันอะไรกันน่ะ!!- เขาตะโกนก้อง

–นายน่ะแหละที่ผิด ถึงจะเป็นเอทิเฟรกเหมือนกันก็เถอะ-

-ไอ้เรื่องแบบนี้น่ะ มันไม่สมควรไม่ใช่เหรอ ไอ้การตัดสินใจบ้าๆของนายเนี่ย!!-สายตาที่ละไปจากภาพเบื้องหน้าหันมองหาต้นเสียงนั้น

-นายเองก็เครื่องจักรสังหารเหมือนพวกชั้นนั่นแหละ แกจะบอกว่าที่ชั้นแค้นพวกมันเป็นสิ่งผิดหรือไง อย่าลืมซิพวกเราน่ะมันแค่เครื่องมือสังหารไม่ควรมีความรู้สึกบ้าบออะไรทั้งนั้นทั้งความรักและคุณธรรม แกมันก็แค่เครื่องมือของพวกมันนั่นแหละ พวกมันสร้างพวกเรามา เพื่อฆ่าคนที่มันเกลียดก็แค่นั้นเองเข้าใจมั้ย!!-ชายผมขาวกล่าวด้วยสายตาที่ดุดัน

-กาเซีย !!- เขาตะโกนแผดก้องสุดเสียงพร้อมดวงตาที่เบิกโผลง ก่อนผละขึ้นมานั่ง พร้อมๆกับมองทุกอย่างรอบตัวซึ่งก็เหมือนกับทุกๆวันที่ผ่านไปก่อนที่ลมจะพัดผ่านจากหน้าต่างจนทำให้ผ้าม่านในห้องเขาปลิวตามสายลมไป -ความฝัน- เขาพูดขึ้นพร้อมกับเอามือกุมที่ข้างศีรษะ แล้วเสียงเปิดประตูก็ทำลายความรู้สึกสับสนในใจของเขาไป

ก๊อก..ก็อก...

เด็กสาวในชุดนักศึกษาของสถาบันการศึกษาอันดับหนึ่งของเทมเพร่าเดินเข้ามาภายในห้องที่เต็มไปด้วยเอกสารวางระเกะระกะ เธอค่อยเดินหลบเหล่าเอกสารนั้นไปหมายจะปลุกพี่ชายที่กำลังอยู่บนเตียง -พี่คะตื่นได้แล้วค่ะเดี๋ยวสายกันพอดี- สาวน้อยผู้ดวงตาสีน้ำทะเลกล่าวขึ้นก่อนที่ลมจะพัดจนผมสีเปลือกไม้ของเธอสยายตามลมที่พัดผ่าน

-เรียกเสียงดังอย่างนี้จะปลุกใครกันแน่ พี่...หรือว่าคนทั้งเมืองนี้- เรเซลตักเตือนสาวน้อยที่แสดงกริยาที่ไม่เหมาะสม ดวงตายังคงจับจ้องที่ด้านนอกของห้องผ่านตึกมากมายที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ

-อ้าวตื่นแล้วหรือคะ- เธอหันไปมองเรเซลที่ยังมองลอดผ่านหน้าต่างไปยังทิวทัศน์ด้านนอกอยู่

-อา.......ลงไปก่อนเถอะ....เดี๋ยวพี่จะตามลงไปนะ...รินเดีย!!-เด็กหนุ่มบอกกับเด็กสาวเช่นนั้น

-ค่ะ!! พี่-

และเด็กสาวเดินออกจากห้องชายหนุ่มไป เรเซลพยายามลืมทุกอย่างที่เขาฝันเห็นให้หมดแม้มันจะเป็นสิ่งที่ตราตรึงในความทรงจำของเขาในเวลานี้ก็ตาม

-ไม่ได้....ลืมให้หมด-เขาเอามือทั้งสองข้างตบหน้าของตัวเองเบาๆเตือนสติให้ตัวเขาได้สติเสียที ก่อนที่จะคว้าผ้าขนหนูที่แขวนไว้ที่ราวแล้วเข้าไปในห้องอาบน้ำ -ลืมให้ได้สิเรา เรื่องแบบนี้ทำไมยังจดจำอยู่กัน-เรเซลบอกกับตัวเองเช่นนั้น พร้อมๆกับปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านตัวไป

ที่ชั้นล่างของบ้านนั้นรินเดียกำลังสาละวนกับการจัดข้าวของที่ชั้นล่างของบ้านให้เรียบร้อยในขณะที่ เรเซลนั้นก็เดินลงมาในชั้นล่างพร้อมกับเครื่องแต่งกายในเครื่องแบบของโรงเรียนทหาร เด็กหนุ่มผู้เดินเข้ามาในภายหลังนั้นเหลือบไปเห็นเด็กสาวที่กำลังจัดข้าวของไปพร้อมๆดูข่าวรอบเช้า

-ดูข่าวเป็นด้วยหรือไงเราน่ะ!?-เรเซลถามเด็กสาวที่กำลังสนใจกับข่าวอยู่พร้อมกับคว้าขนมปังหนึ่งแผ่นไปคาบก่อนที่เขาจะเปิดเป้สะพายของเขาเพื่อตรวจของที่จำเป็นแล้ววางพาดมันลงไปที่เก้าอี้อีกตัว

–เสียมรรยาทจัง แบบนี้พี่ชายจะหาแฟนได้มั้ยคะเนี่ย-

-ไม่มีก็ช่างมันสิ!!-ชายหนุ่มตอบกลับทันควัน

-ทำไมล่ะคะ!!-

-วุ่นวายไป ขี้เกียจน่ะ!!-

ข่าวที่เด็กสาวผู้มีสีผมราวสีของทองคำนั้นดูนั้นเป็นข่าวเกี่ยวกับการสมัครเรียนของโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งมีหลากหลายที่ในเทมเพร่า ซึ่งในข่าวตอนนี้มันคือโรงเรียนเตรียมทหารอันดับต้นๆของที่นี่และเป็นโรงเรียนที่เรเซลกำลังเรียนอยู่

-ทำไมที่นี่ต้องให้นักศึกษาชายไปเรียนที่โรงเรียนทหารทุกคนด้วยล่ะ เห็นยูอาเพื่อนหนูเค้าบอกว่าที่ประเทศเดิมที่เขาอยู่ไม่เคยมีกฎแบบนี้เลย-รินเดียค่อยๆเล่าตามเรื่องราวที่เธอกำลังสงสัย

–เฮ้อ....ความรู้สึกช้าจริงๆ เราน่ะอยู่นี่มา 5 ปีแล้วนะ เพิ่งจะมาถาม- เรเซลรวบผมที่แยงตาครั้งแล้วครั้งเล่าขึ้นก่อนที่จะหยิบขนมปังอีกแผ่นขึ้นมากิน

-แหมก้อสงสัยนิน่า- เธอบอกก่อนจะหยิบขนมปังขึ้นมาทาเนยให้เรเซล

-แล้วทำไมไม่รีบถามเล่า-

-ก็ แหม....-

-ที่นี่น่ะเป็นประเทศเล็กๆกำลังก็ไม่ได้มีมากมาย ถ้าเพียงแค่ไห้ประชากรสามารถพร้อมตลอดเวลาในการรับมือกับเรื่องไม่คาดฝัน สำหรับพี่น่ะก็คิดว่ามันก็ดีนะ- เรเซลเปรยก่อนจะดื่มน้ำที่รินไว้ในแก้วจนเต็ม –ถึงจะไม่ชอบชุดแบบนี้ก็เถอะ มันทำให้นึกถึงอะไรเก่าๆ-เขารำพึงรำพันกับตัวเองเบาๆ

–รินเดียนี่กี่โมงแล้ว- จู่ๆเรเซลถามเวลากับเด็กสาวที่นั่งตรงข้ามโต๊ะกับเขา

-เวลาเอ ..... 7โมงครึ่งแย่แล้วแย่แน่ๆ- รินเดียเอ่ย ตัวเธอนั้นรีบเก็บของต่างๆในห้องให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ -พี่คะเร็วหน่อยสิเดี๋ยวก็ไปสายหรอก-รินเดียเตือนชายผู้กำลังคาบขนมปัง พร้อมทั้งหยิบสัมภาระที่จำเป็นของเธอ

-ไม่หรอกน่า เชื่อเถอะ-

-แหม ตอนนี้ก็พูดได้สิคะ-

-ไม่เป็นไรน่าแค่นี้เองพี่วิ่งไปไหวน่า เธอน่ะรีบไปเถอะเดี๋ยวจะไม่ทันเอานา- เรเซลกล่าวขึ้นขณะที่เขาเองก็พยายามรีบกินอาหารที่เหลือบนโต๊ะไห้ไวที่สุด

-สายแล้วๆ งั้นไปก่อนนะคะพี่- รินเดียเอ่ยลาเรเซลก่อนที่จะเปิดประตูบ้านออกไป

-อืม...- เขาเอ่ยพร้อมกับคาบขนมปังชิ้นสุดท้าย มือคว้าสายสะพายของกระเป๋าเป้พาดบ่าและออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็วสายตามองบนเส้นทางที่ผ่านไปมาเช่นปกติก่อนที่จะเริ่มวิ่งตามเส้นทางประจำไปเรื่อยๆ

-ว่าไปนั่น จะทันรึเปล่าเรา- เรเซลเอ่ยถามตัวเขาเอง -ทันสิ ทัน- ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองคนเดียว

-อ้าวพ่อตัวดีมาสายอีกแล้วเหรอ- เสียงทักทายจากเพื่อนสนิทดังมาจากด้านหลังของเขาขณะที่กำลังวิ่งไปโรงเรียนอยู่พร้อมเสียงรถที่เขาขับมาด้วย

-วอลริค นายพูดอย่างกับว่าแกจะไปทัน-เขากล่าวพร้อมกับพยายามวิ่งไป

-ทันสิระดับนี้แล้ว ถ้าไม่อยากสายโดดเลยพวก-

-เออก็ดี- เรเซลรับไมตรีของสหายที่ขับรถเข้ามาใกล้เข้าไป เรเซลที่กระโดดขึ้นบนรถในทันที

–ไม่อยากตายรีบหาอะไรยึดไว้ไห้แน่นนะพวก- เขาเตือนสหายหนุ่มก่อนจะเร่งความเร็วขึ้นจนสุด มือบิดพวงมาลัยหลบรถที่วิ่งทั้งสองเลนจนรถคันอื่นต้องขับหนีกันชุลมุนเสียงดังอึกทึกไปตามเส้นทางที่รถวิ่งไป

บรืนนนนน......................!!!

-จะรีบไปตายที่ไหนวะแก!!- เรเซลตะโกนร้องเพียงเพื่อหวังให้อีกฝ่ายลดความเร็วลงบ้าง

-ไม่หรออกน่าชิลๆ-

-บ้านป้าแกสิ!! นี่มันเกินตามที่กฎหมายกำหนดแล้วเฟ้ย!!-

-กฎมีไว้แหกสิเพื่อนเอ๋ย!!-

-บ้านแกคนเดียวเถอะ!!-

-ย้าฮูว!!-

-เฮ้ยข้างหน้า ดูก่อนเฟ้ย!!- เรเซลเตือนเพื่อนผู้ไร้ความระมัดระวังให้ระวังรถที่วิ่งสวนไปมาด้วยแต่ในใจก็ภาวนาให้ไปทันการเรียนเช้านี้

-จะรีบไปตายที่ไหนวะ!!- เสียงตะโกนด่าดังต่อเนื่องในระหว่าทางผ่านของทั้งสองไปตลอดทาง –พ่อแม่พวกแกไม่เคยสั่งเคยสอนหรือยังไงวะ-

-เอ่อ....ขอโทษ....ครับ ไม่ทันแหล๋ว- เรเซลพยายามขอโทษให้ทันแต่ก็ไร้ผล

-ถึงแล้ว!!- วอลริคตะโกนพร้อมๆกับเบรกรถเข้าไปยังที่จอดที่ยังคงว่างอยู่อย่างช่ำชอง

เฮ้ย!!... เรเซลอุทานออกมาเพราะหัวของเขาเกือบจะโขกกับกระจกรถแล้วเคราะห์ดีที่เขายังใช้มีกันไว้ได้อยู่ -ไอ้บ้าเอ้ย จะจอดก็จอดให้มันรถดีๆหน่อยสิเฟ้ย- เรเซลต่อว่าก่อนที่จะลงจากรถไปพร้อมๆกับวอลริค

-ไหงทุกคนมองพวกเราอย่างนั้นล่ะ เราทำอะไรผิดงั้นรึ- วอลริคยังไม่ทันพูดจบดีเขาก็โดนคนบางคนเขกหัวเข้าอย่างแรงจนมึนเห็นดาวหมุนรอบหัว

-แหงแซะ(ไม่ผิดก็บ้าแล้ว)-

-ผิดสิโดยเฉพาะต่อหน้าฉันคนนี้คุณกาเรนโรงเรียนไม่ได้มีนโยบายไห้นักศึกษาแหกกฎหมาย- เสียงทุ้มๆของคนที่เขาคุ้นเคยทำให้สหายทั้งสองเริ่มกลืนน้ำลายพร้อมกัน

เอื๊อก....

-พวกเธอแหกกฎหมายไปทั้งหมดกี่ข้อจนมาถึงนี่ชั้นไม่รู้ชั้นสนใจแต่ว่าถ้าเรื่องมาถึงโรงเรียนพวกแกสองคนโดนดีแน่- เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ก็ยังหน้าหวาดหวั่น

-แหมอาจารย์บาริต้า พวกผมไม่น่าขับรถเร็วเลยเนอะ เร- วอลเอ่ยเรียกร้องความเห็นใจจากเพื่อนของเขาพร้อมทั้งพยายามทำท่าทางเสียใจเพื่อขอความเห็นใจจ่กคนรอบข้าง

-ใคร บอกว่าพวกแกขับรถเร็วอย่างเดียวชั้นว่าพวกเธอคงทำผิดกฎหมายอย่างน้อยสัก5ข้อเป็นอย่างต่ำกว่าจะมาถึงที่นี่- น้ำเสียงของครูฝึกวัยกลางคนค่อยๆดูมีน้ำโหมากขึ้นเรื่อยๆ

เด็กหนุ่มทั้งสองได้แต่มองหน้ากันและเอามือปาดเหงื่อยอมรับชะตากรรม

-แหมก้อนานๆทีน่ะ-วอลริคพยายามแก้ตัว

-อีกอย่างตอนพวกแกจอดรถแกเฉียวรถคันหนึ่งเป็นรอยรู้มั้ย-หลังจากที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้นพวกเขาจึงไปมองรถคันดังกล่าว

-อะไรกันเนี่ยไอ้เศษเหล็กเนี่ย แหมไม่เท่าไหร่หรอกน่า- คำพูดของวอลริคทำให้ทุกคนที่เดินผ่านจุดเกิดเหตุสะดุ้งเฮือกขึ้นพร้อมกันรวมทั้งเรเซลด้วย –แหมไหนๆมันก้อจะพังแล้วไม่น่าเล้ย ไปเกิดใหม่เถิดสาธุ!!-วอลริคพนมมือทำท่าเหมือนจะสวดส่งวิญญาณรถคันนั้นขณะที่เรเซลก็พยายามสะกิดเขาเพื่อให้เขารู้ตัว

–แกรู้ไหมเจ้าของรถคันนั้นคือใคร-มีเสียงกระซิบกระซาบภายนอกนั้นทำให้วอลเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง –ชั้นเองเจ้าของรถคันนั้นใครมีปัญหาก็ออกมาเลย!!-บารีสต้าตะโกนขึ้น นักเรียนทุกคนหายไปหมดไม่เหลือแม้แต่คนเดียว เหลือเพียงเรเซลและวอลที่ไม่รู้จะหนีไปไหน

–แหมๆรถคันนี้ถึงจะเก่าแต่ก็ดีไซน์คลาสสิกมาก ไม่เคยเห็นรถที่ไหนสวยอย่างนี้มาก่อนเลย-วอลพยายามจะลบคำสบประมาทเมื่อกี้ออกจากหูของบารีสต้า

-ผมไม่เกี่ยวนา- เรเซลพยายามปัดสวะออกจากตัว

-เฮ้ยไอ้เร พูดงี้ได้งายอะ!!-

-ก็ชั้นห้ามนายแล้วนะ!!-

-ก็จริง แต่นายก็น่าจะเกี่ยวข้องด้วยเซ่!!-

-ม่ายอาว เดี๋ยวซวย- ท้ายสุดจึงกลายเป็นประเด็นถกเถียงระหว่างเพื่อนสองคน

-ไปเดี๋ยวนี้!! ก่อนชั้นคนนี้จะจับแกสองคนโยนลงทะเลสาบให้พวกสาหร่ายกิน– เขาตวาดใส่ทั้งวอลริคและเรเซลที่กำลังเถียงกัน และเมื่อได้ยินเช่นนั้นทั้งสองจึงวิ่งเข้าไปในโรงเรียนอย่างรวดเร็วทันทีขณะเดียวกันสีหน้าของบาริสต้าก็ทำให้นักศึกษาที่เดินผ่านหน้าบาริสต้าทุกคนก็รีบวิ่งเข้าไปภายในโรงเรียนเช่นกัน

----------------------------------------------------------------------------------------------------------

ณ ที่ทำการของรัฐอิสระเทมเพร่า ผู้ที่อยู่ในห้องรับรองที่สำคัญนั้นมีเพียงสองคน คนหนึ่งเป็นชายวันกลางคนในชุดสีเขียวเต็มยศซึ่งเขาก็คือผู้นำแห่งเทมเพร่าโซเกียร์ กราเฮม และผู้ที่อยู่ภายในห้องอันรโหฐานอีกคนก็คือฟาเทีย อารีน่า เอริเซนต์ สตรีผู้สูงศักดิ์ผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภาสูงสุดแห่งไลทาน

และเวลานี้ผู้นำแห่งไลทานได้เข้ามาหาผู้นำของเทมเพร่าเนื่องด้วยสาเหตุที่ได้เกิดการพัฒนาด้านอาวุธของประเทศเล็กๆหลายๆประเทศเธอจึงเป็นฝ่ายมาหาเพื่อขอความร่วมมือจากผู้นำของเทมเพร่า ทว่าความเคร่งเครียดของผู้นำทั้งสองฝ่ายกลับทำให้บรรยากาศภายในอึดอัดยิ่งนัก

–งั้นที่คุณต้องการก็คือให้ผมช่วยในการไกล่เกลี่ยกับประเทศระดับเดียวกับผมสินะครับ- ผู้นำเทมเพร่ากล่าวขึ้นดวงตาเข้มๆของเขาดูราวกับจับจ้องมองผู้นำไลทาน

-ค่ะ จริงๆแล้วเราเชื่อว่าท่านไม่อาจเชื่อในสิ่งที่เราทำได้ เนื่องจากประเทศเหล่านั้นเองคิดว่าเราต้องการให้ลดกำลังทางทหารเขาลงเพราะไม่อยากให้พวกเขาเป็นอิสรภาพจริงๆแต่พวกเราต้องการควบคุมเขาไว้- หญิงผู้สูงศักดิ์เอ่ย

-ท่านคิดว่าเราช่วยท่านได้จริงๆเหรอ ประเทศเล็กๆอย่างเรานี่น่ะ-บุรุษผู้ทรงอำนาจสูงสุดของเทมเพร่าเอ่ยอย่างถ่อมตัว

-ได้แน่นอนค่ะชั้นเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น- เธอตอบกลับไปพร้อมกับยิ้มให้ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอ

-อะไรที่ที่คิดเช่นนั้น-

-หากคนเราเชื่อในซึ่งกันและกัน ทุกอย่าง ทำได้แน่นอนค่ะ-

-ขอขอบคุณสำหรับความไว้วางใจนะครับ แต่ว่าตัวผมเองก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน แต่ตัวผมก็จะทำให้มันเต็มที่ก็แล้วกัน- เขาขอบคุณในความไว้วางใจของเธอ -แล้วเรื่องของผู้ก่อการร้ายน่ะครับ ผมขอให้ท่านระวังตัวด้วยเพราะตามที่หน่วยข่าวกรองเราว่ามาพวกนั้นได้แฝงมาในประเทศเราแล้ว- เขาเตือนผู้นำแห่งไลทานในสีหน้าดูเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม

-ไม่เป็นไรค่ะคนที่ท่านส่งมาอารักขาฉันน่ะช่วยอารักขาอย่างดีเลยค่ะ- เธอกล่าว -เรารบกวนท่านมามากเกินไปแล้วค่ะขอตัวนะคะ- เธอเอ่ยอำลาพร้อมลุกขึ้นจากโซฟาของห้องรับรองช้าๆ

-โซเลียร์ พาท่านฟาเทียกลับที่พักซิ- ผู้นำแห่งเทมเพร่าออกคำสั่งให้หญิงสาวในชุดทหารเดินออกมาจากข้างประตู และพาอาคันตุกะไปพักยังที่รับรองแขกของเทมเพร่า

-ค่ะท่านพ่อ- เธอกล่าวพลางเปิดประตูห้องให้ -เชิญค่ะท่านฟาเทีย- เธอกล่าวพร้อมกับทำความเคารพขณะที่ฟาเทียจะเดินจากไปจากห้อง

อาคันตุกะนั้นออกจากห้องไปทิ้งให้โซเกียร์ กราเฮมผู้นำสูงสุดแห่งโคโลนีที่มีชื่อว่าเทมเพร่าอยู่ในห้องรับรองอาคันตุกะเพียงคนเดียว -หนักใจจริงๆเรื่องอย่างนี้- เขากล่าวขึ้นขณะที่โซเลียร์ทำความเคารพชายผู้มีอำนาจสูงสุดของเทมเพร่าก่อนที่จะออกไปจากห้องเช่นกัน

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

ณ โรงเรียนเตรียมทหารบอสลัน

ภายในห้องสอบที่เงียบสงบ เหล่านักศึกษาต่างพากันเคร่งเครียดกับข้อสอบที่แสนอำมหิต ขณะที่กรรมการคุมสอบนั้นก็คอยเดินตรวจตรามิให้ผู้ใดสามารถทุจริตการสอบได้ และในเวลานี้ชายผู้มีผมสีขาวโพลนเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มที่กำลังทำตรงกันข้ามกับนักศึกษาคนอื่น

-ช่างน่านับถือจริงๆที่มีคนหลับในชั่วโมงการสอบน่ะ!!- เสียงตวาดดังกึกก้องไปทั่วห้องปลุกชายหนุ่มที่กำลังหลับอยู่ภายในห้องสอบที่เงียบสงัดขึ้นมาอีกครั้ง -ข้อสอบน่ะยั้งเหลืออีกกว่าครึ่งไม่ใช่เหรอ อย่างเธอจะทำทันเหรอ- ผู้คุมสอบถามแกมดูแคลนก่อนที่เรเซลจะค่อยๆหยิบดินสอฝนคำตอบลงไป -ชั้นว่าไม่ทันหรอกเตรียมสอบตกไว้ได้เลย

-30นาทีแน่ะ ทันถมเถไปน่าอาจารย์- ชายหนุ่มตอบกลับไปด้วยสีหน้าเมินเฉยต่อความกดดันของคนยืนคุมข้างๆตัวเขามอบให้

-เรียนก็ไม่ตั้งใจ สอบก็ยังหลับอีก ชั้นว่าปีนี้แกต้องไม่ผ่านชัวร์- น้ำเสียงเปลี่ยนไปเป็นน้ำเสียงที่ดีใจแบบสุดๆ เด็กหนุ่มตีสีหน้ามุ่ย ก่อนที่จะเลกคิ้วข้างขวาขึ้น

-อะไรกัน อะไรทำให้อาจารย์ฟันธงแบบนั้น- ชายหนุ่มถามสายตากวาดตามข้อสอบไปเรื่อยๆ

-แกมีคะแนนเก็บวิชานี้15 คะแนนต่ำสุดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์การก่อตั้งโรงเรียนนี้มาไงล่ะ ขนาดคนได้40คะแนนยังเคยตกมาแล้วเลย- หลายคนที่ได้ยินตามที่ผู้คุมสอบพูดดังนั้นเริ่มตรวจสอบข้อสอบกันทุกๆคนขณะที่เครื่องตรวจข้อสอบถูกยกเข้ามาในห้อง

-โห ตราบเท่าที่โลกยังหมุนรอบดวงอาทิตย์ อะไรก็เป็นไปได้น่า “จารย์”-

-โฮ่...สำนวนดีนี่ แต่คราวนี้ข้อสอบมันก็แค่ 45 คะแนนอย่าลืมสิว่าวิชาชั้นต้องใช้กี่คะแนนถึงผ่านน่ะ 50 คะแนนเชียวนะ- คำพูดของผู้คุมการสอบกดดันนักศึกษาทั่วห้องอีกครั้ง

-ก็ยังทำพลาดได้ตั้ง 10 คะแนนแน่ะ!!- เจ้าหนุ่มเจ้าปัญหายังยอกย้อนอย่างไม่กลัวเกรงต่อไป

-เอาล่ะเครื่องประหารมาพร้อมกับเพชฌฆาตเรียบร้อยแล้ว!!- สายตาทุกคู่หันไปมองผู้ที่เข้ามาภายในห้องก่อนจะเดินเข้าไปนั่งในที่ของตน

-ฮื้อ...ฮือ..หึ...ฮื้อ...ฮือ..หึ~ - เรเซลค่อยฝนคำตอบสุดท้ายลงไปพร้อมกับร้องเพลงในลำคอไปอย่างสบายอารมณ์ -อาวล่ะ เสร็จแล้ว- เด็กหนุ่มเป็นคนแรกที่เดินออกไปหน้าห้องเป็นคนแรกพลางมองไปเห็นสายตาที่ไม่น่าไว้วางใจของผู้คุมสอบ คะแนนของเขายังคงได้รับการตรวจไปเรื่อยๆก่อนที่จะหมุนอีกรอบเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง สายตาของผู้ตรวจคะแนนเริ่มเปลี่ยนไปกลายเห็นสายตาของคนที่กำลังทึ่ง

–คะแนนสอบ 44 คะแนน- ผู้ตรวจสอบบอกคะแนนกลับไปขณะที่เด็กหนุ่มค่อยๆสาวเท้าเดินออกไปหน้าที่ประตู

ข้อสอบสุดอำมหิตตอนนี้ถูกสยบลงต่อหน้าเด็กหนุ่มผู้ไม่เคยจะสนใจเกี่ยวกับวิชาเรียนเลย และตัวเขาสอบผ่านอย่างไม่ต้องสงสัยใดๆ

-เฮ้ยเล่นทริกอะไรรึเปล่า- ผู้คุมสอบข้องใจในคะแนนสอบของเรเซล

-นั่นสิ... ก็มีแนวข้อสอบอยู่น่ะ แต่ก็ไม่ได้มีทริกอะไรมาก- เรเซลเอ่ยขึ้น

-หนอย พูดดีนักนะ-

-แหมจารย์ง่ายแบบนี้ จริงๆกะเอาแค่ผ่านเฉยๆนะ แย่ชะมัด-

คนทั้งห้องเงียบสนิทหันมามองชายท่าทางยียวนแล้วเริ่มมองไอ้เจ้าจอมยียวนรูปแบบใหม่ในสายตา

-หา จริงน่ะ บอกบ้างเดะ!!- เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยังนั่งมึนกับข้อสอบร้องออกมาทันทีเขาแทบต้องการคำตอบตอนนี้ด้วยซ้ำ

-ก็แค่วัดดวงเอา แล้วบังเอิญชั้นก็ดวงแข็งซะด้วยสิ ก็เท่านั้น แล้วก็โชคดีเพื่อนๆทั้งหลายนะ- เขาโบกมือลาพร้อมๆกับเดินออกจากห้องที่มีเสียงโห่ไล่กึกก้องอยู่ภายในห้อง

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

เวลา 11:45 น. บนดาดฟ้าของอาคารเรียน

หลังการสอบที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายนั้นเด็กหนุ่มผู้มีผมสีเงินกำลังยืนคุยกับเด็กสาวในชุดชั้นปีที่สูงกว่าของโรงเรียนแห่งนี้เช่นเดียวกับเขา ตามที่เขาได้ถูกนัดหมายเอาไว้

ชายหนุ่มผู้อยู่ตรงหน้าเด็กสาวนั้นอยู่ในสภาพนิ่งไม่ไหวติงเพื่อรอให้เด็กสาวนั้นเอ่ยคำที่ตัวเธอนั้นต้องการบอกเขาออกมา อาจจะนิ่งราวกับเป็นรูปปั้นเลยทีเดียว

เด็กสาวมองตรงมายังที่ใบหน้าเด็กหนุ่มผู้อยู่ตรงหน้าและชั่งใจที่จะพูดคำที่เธออยากจะบอกกับบุรุษตรงหน้า และเมื่อเธอตัดสินใจจะเอ่ยออกมา เธอจึงเอ่ยคำที่ต้องการจะเอ่ยออกมาให้เขารับรู้ว่า -เรเซลชั้น...ชอบเธอนะ-

-ค...ครับ-

เจ้าหนุ่มผมสีเงินนั้นไม่แสดงอาการใดๆทั้งนั้น แม้กระทั่งอาการเขินอาย

-ยังไงช่วยตอบรับหน่อยเถอะว่าเธอรู้สึกอย่างไร-

-จะดีเหรอครับ!!-

-ดีสิ อย่างน้อยชั้นเองก็สารภาพไปแล้วนะ-

-จะดีเหรอครับ!!-

-อื้ม ดีสิชั้นยอมรับได้อยู่แล้ว-

เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มออกมา ทว่ายังมีบางอย่างซ่อนเอาไว้ในใจของเขาอีก –อย่างนั้นเหรอครับ!!- เขาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งเผื่อที่ว่าคนตรงหน้าจะเปลี่ยนใจ

-ขอจากใจจริงๆนะ-

-ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆครับ รุ่นพี่!!-

-เฮ้อ!!....คนอย่างนายนี่มัน-

-ข...ขอโทษด้วยครับ-

-ท่าทางคนอย่างนายคงหาผู้หญิงยากแฮะ-

เด็กหนุ่มที่ยังคงตีหน้านิ่งนั้นตะลึงเพราะไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะพูดคำๆนี้ออกมา

-เอ่อ...(ครับ ท่าทางเป็นแบบนั้นจริงๆ)-

-ช่างเถอะ อย่างน้อยก็ได้รู้ความในใจของนายแล้ว-

-เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ได้ใช่ไหม- เธอถามชายหนุ่มผมเงินที่กำลังสำนึกผิด

-ได้สิครับ ถ้ารุ่นพี่ไม่รังเกียจผมนะ-

เจ้าตัวหันไปยิ้มให้เด็กสาวด้วยสายตาที่อ่อนโยนแต่ก็ฉายแววซึ่งความเศร้าบางอย่าง

-ไม่หรอก นายน่ะสิ ตอนแรกชั้นนึกว่าจะมองหน้านายไม่ติดซะแล้วตอนที่นายบอกเมื่อกี้น่ะ-

-ไม่หรอกครับ ผมไม่ใช่คนแบบนั้น-

-รับปากนะ!!-

-อืม... ผมไม่ใช่คนที่เปลี่ยนคำพูดง่ายหรอกครับ- เสียงที่เรเซลเปล่งออกมาจากบนดาดฟ้าอาคารเรียนในเวลาพักกลางวันนั้นไปเขาหูเพื่อนของเขาทั้งสองที่กำลังเดินขึ้นมาเสียจนได้



–เอาอีกแล้วเหรอเจ้านั่นน่ะ- หันไปบอกเพื่อนสนิทที่เดินเคียงกันมา

–คราวนี้ใครอีกล่ะ- ทั้งสองเหลียวมองกันและกันก่อนจะค่อยๆเหลียวมองขึ้นไปบนบันไดที่ทอดส่องไปบนดาดฟ้าอาคารเรียนประจำที่พวกเขาชอบมาพัก

–สวัสดีจ้ะทั้งสองคน พี่มีธุระนิดหน่อยน่ะไปก่อนนะ- เสียงหญิงสาวในเครื่องแบบชั้นที่สูงกว่าเด็กหนุ่มทั้งสองบอกก่อนที่ร่างของเธอจะผ่านร่างเด็กหนุ่มทั้งสองไป

–รุ่นพี่มิเนะ!!- ราสเตอร์หันไปบอกวอลริคที่ทำหน้าหงุดหงิดก่อนที่ทั้งสองจะเปิดประตูดาดฟ้าออก

ชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนสนิทและเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดยังคงนั่งทอดน่องอยู่ที่ริมพนัง ก่อนที่จะค่อยๆหันไปหาเพื่อนๆของเขา สีหน้านิ่งสนิทราวกับไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น –ทำข้อสอบได้มั้ย!!- เจ้าตัวต้นเรื่องถามเรื่องการสอบของเพื่อนทั้งสอง

-ก็โอเคนิ!!- ทั้งสองรับพร้อมๆกัน

–ถามจริงนายจะทำอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน –วอลริคถามสีหน้าที่บูดบึ้ง

–ทำอะไรล่ะ!!- เจ้าตัวปัญหายังไม่รู้เรื่องที่วอลริคนั้นถาม

-ก็ที่นายปฎิเสธชาวบ้านเขาไปทั่ว จนถึงรุ่นพี่มิเนะด้วยเนี่ย- วอลริคบอก

–งั้นเหรอ .... เรื่องของเรื่องคือชั้นมันก็ไม่ใช่คนที่จะมาสนใจเรื่องพวกนี้- เด็กหนุ่มตอบกลับไป -อย่างน้อยตอนนี้น่ะ- ชายหนุ่มตอบกลับไปพลางเอามือเปิดห่อผ้าออกพร้อมกับหยิบอาหารที่อยู่ในกล่องภายในห่อผ้านั้นออกมา

-แกมันมีดีตรงไหนฟะ-

-ดีกว่าพวกแกแล้วกัน!!- ปากเสียๆของเรเซลนั้นด่าสวนกลับไปรวดเร็วจนน่าทึ่ง

–เจ้าคนตายด้าน- ราสเตอร์เผาเรเซลตรงๆ

–ช่ายหรือว่าแกเป็นพวกชอบผู้ชาย!?- วอลริคต่อคำพูดของราสเตอร์ต่อ

–อยากม่องเท่งมั้ย- เรเซลเอ่ยออกมาพร้อมๆกับสายตาที่ดูจะหงุดหงิดสุดขีด –ที่ชั้นไม่ตอบรับใครก็เพราะว่าชั้นไม่รู้ใครจะรับสิ่งที่ชั้นเป็นได้หรือเปล่าเท่านั้น- เรเซลบ่นสายตาทอดยาวไปบนท้องฟ้า

–งั้นเหรอ ไอ้พระเอกหนังแม่บ้านยามบ่าย- ทั้งสองพูดพร้อมๆกัน

-พวกแก......!!- ชายผู้เป็นประเด็นพาดพิงด้วยความหมั่นไส้มองเพื่อนที่เหน็บตาเขม็ง

แล้วเรเซลถึงกับหันหน้าหลบเมื่อเจอกับคำพูดกวนบาทาของเพื่อนสนิทอีกคำว่า “ไอ้คนแล้งน้ำใจ แค่นี้รักษาน้ำใจไว้ไม่ได้”

ทว่าโดยที่เรเซลไม่ทันรู้ตัวเพื่อนทั้งสองที่เหลือบไปเห็นกล่องข้าวสุดอลังการของเรเซลก็ฉกกล่องข้าวนั้นไปรัปทานเรียบร้อยแล้ว

–อร่อยจริงว่ะ แหมสมกับเป็นฝีมือน้องสาวสุดที่เลิฟของแกจริงๆ- วอลริคที่แอบฉกอาหารของเรเซลไปกินกล่าวชมเพราะทั้งลักษณะและรสชาติก็ลงตัวกันมาก

–ช่ายๆ- ราสเตอร์สนับสนุนความคิดของเพื่อนสนิท

-ฟังชั้นบ้างซิ(เฟ้ย)- เด็กหนุ่มตีสีหน้าหงุดหงิดแต่ก็ทำได้แต่บ่นๆไปเรื่อยๆ –แล้วนั่นน่ะชั้นทำเองนะ รินไม่ได้ทำ- เรเซลบอกก่อนที่เขาจะดื่มน้ำกระป๋องในมือจนหมด

-หา แกทำเองเหรอ!? ทำไมน้องสาวนายไม่ทำให้เหมือนปกติเหรอ- ทั้งสองถามอย่างใคร่รู้

-แกทำอาหารเป็นด้วยเหรอ- คำถามที่เหมือนการดูแคลนย้อนของราสเตอร์ย้อนกลับไปทำให้เรเซลรู้สึกโมโหเขานิดๆ

เจ้าคนโดนดูถูกหน้าบึ้ง มองตาขวางก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า -เป็นสิเฟ้ย(หลักฐานทนโท่)-

-แล้วคุณหนูล่ะ-

–ให้ยัยหนูนั่นอ่านหนังสือเตรียมสอบไปน่ะดีแล้ว- เรเซลบอกเหตุผล

-สอบเหรอ อื้มๆๆ-

–ที่เหลือพวกนายจะกินไปก็ได้นะเบื่อที่จะกินอาหารฝีมือตัวเองแล้ว– เรเซลบอกก่อนหันกลับไปที่ระเบียงเหมือนกับก่อนที่เพื่อนทั้งสองเขาจะมา สายตาหรี่ลงก่อนที่จะหลับไปตามปกติ

–ลาภปากล่ะเฟ้ย- ทั้งสองเริ่มการจัดการอาหารเบื้องหน้าในทันทีขณะที่ชายหนุ่มกลับครุ่นคิดในเรื่องต่างๆนาไปเรื่อยๆ

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ช่วงบ่ายอันอบอ้าวหลังจากที่โรงเรียนต่างๆในเมืองต่างเลิกเรียนแล้วรินเดียที่เดินอยู่ระหว่างทางกลับบ้านซึ่งรินเดียยังคงกลับบ้านกับหลินและรีเอสเพื่อนสนิทเธออีกสองคนเช่นเคย

–สุดท้ายแล้วพี่เธอก็จ่ายค่าหนังสือทั้งหมดเองเหรอ แหมรักน้องจริงๆพี่คนนี้-รีเอสกล่าว

–อือ....พี่บอกว่ายังไงๆก็ไม่ให้ออกเงินเด็ดขาด เรื่องเงินเขาเป็นคนจ่ายเอง- เด็กสาวตอบกลับเพื่อนสนิทที่เดินด้วยกันไป -แต่เราจะไม่ยอมเป็นคนรับฝ่ายเดียวหรอก-รินเดียบอกความมุ่งมั่นของตัวเธอกลับไป

-แต่พี่เธอแปลกนะ พี่น้องกันแท้ๆ ต่างกันราวฟ้ากับเหวเชียว-หลินพูดเปรยไปเล่นๆแต่คำพูดนี้กลับทำให้รินเดียนิ่งไป -แหมพูดเล่นจ้ะแมวน้อยจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงกัน เนอะ!!- หลินทำหน้าแหย่ให้เธออายขณะที่รินเดียก็ยิ้มให้ตอบรับเธอเช่นกัน

-จริงๆแล้วเราสองคนน่ะไม่ใช่พี่น้องกันทางสายเลือดหรอก แล้วไม่ได้เกี่ยวดองทางญาติด้วย-รินเดียบอกทั้งสองซึ่งคำพูดนี้ทำให้ทั้งสองสาวอึ้งไปชั่วขณะ

–แล้วไหงพี่เธอถึงได้ทำอะไรให้ถึงขนาดนั้นด้วยล่ะ-รีเอสถามด้วยความอยากรู้

-ความจริงแล้วพี่กับชั้นเจอกันเมื่อ5ปีก่อนครอบครัวเราตายจากอุบัติที่เกิดจากก่อการร้ายตอนนั้นเราเป็นคนเดียวที่รอดตายเพราะออกมานอกตึกก่อน...แต่จนปัจจุบันเพราะแรงช็อกตอนนั้นทำให้เราจำเร
Fiction

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา