[Fantasy Fiction] แด่เธอ...” หิมะโปรย ”

แด่เธอ...” หิมะโปรย ”

บทนำ



มือขาวเอื้อมไล้กลีบใบของดอกไม้ด้วยแววตาหงอยเหงาแต่อ่อนโยน ส่วนมืออีกหนึ่งยึดกรอบหน้าต่างซึ่งทำจากไม้เนื้อหนาทาสีดำมันปลาบที่มีดีไซน์รูปแบบฝั่งยุโรปมองดูงามตา ดวงตาสีดำสนิทหรี่ปรือ...นึกถึงสายลมของวันเก่า



ดอกไม้ในวันวานก็มองดูงามตาเหมือนในวันนี้ เพียงแต่ความทรงจำเลวร้ายในครั้งนั้นยังตามหลอกหลอนอยู่ทุกคืนทุกวัน แค่คิดถึง...ลมหายใจก็กระตุกวูบ ผิวกายสั่นสะท้าน และดวงตาก็ร้อนผ่าวโดยมิได้ตั้งใจ



“ แด่เธอ...หิมะโปรย ”



“ ท่านพี่...เมื่อเช้าข้าเห็น –เขา- ท่าทางไม่ค่อยดี ท่านจะเข้าเยี่ยมที่ห้องหน่อยไหมขอรับ ? ”



เด็กหนุ่มรุ่นทรุดกายสูงลงนั่งก่อนจะเอ่ยสนทนากับพี่ชายต่างมารดาที่เอนตัวบนโซฟาพลางจิบชาร้อนกลิ่นกรุ่นอยู่อย่างเงียบ ๆ เขามักจะนั่งทอดอารมณ์กับการดื่มชาอยู่เสมอจนเขาซึ่งเป็นน้องไม่ใคร่อยากรบกวนเท่าใดนัก เพราะท่านพี่ของเขาผู้นี้มีหน้าที่ต้องกระทำจนเหนื่อยหนักอยู่แล้วทุกวัน...เวลาพักนั้นหาได้ยากยิ่งนัก



“ ซาโอริม...เจ้าไปเยี่ยมเขามางั้นรึ ? ”



คนน้องก้มหัวเล็กน้อย ไหล่ค่อนข้างกว้างไม่ผิดกับคนเป็นพี่นั้นไม่ได้ไหวไปมาให้แลดูล้อเล่นบ่อยครั้งเหมือนคนอื่น แต่กลับหยัดตรงอยู่เยี่ยงนี้เสมอ สมกับที่เป็นน้องชายต่างมารดาคนเดียวของนายพลหนุ่มที่เด็กที่สุดของกองทัพ



“ ขอรับ...-เขา- ดูแย่มาก ท่านพี่น่าจะไปหาเขาเสียหน่อยนะขอรับ ”



คนเป็นพี่วางแก้วชาลง หัวใจเจ็บชาทุกครั้งที่นึกถึงภาพคน ๆ เดิมยืนริมหน้าต่าง...และปล่อยดวงตาทอดไปไกลโพ้นราวกับกำลังทุกข์ทรมานจนแทบอยากจะปล่อยดวงวิญญาณลอยไปเสียให้พ้นจากที่นี่



“ อืม...ถ้างั้นก็ขอตัวนะ พี่ฝากงานช่วงบ่ายด้วยล่ะ...ซาโอริม ”



ชายหนุ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นหยัดไหล่ตรงก่อนจะพาร่างสูงใหญ่หายลับไปจากห้องนั้น ...หาได้สนใจในสายตาของน้องชายต่างมารดาที่เอาแต่จับจ้องสังเกตปฏิกิริยาคนเป็นพี่อยู่ตลอดเวลาไม่



“ ท่านพี่...ข้าไม่น่าทำให้ท่านต้องเจ็บปวดแบบนี้เลย ”



ซาโอริมเอ่ยเบา ๆ ด้วยดวงตาเศร้าสร้อยที่ไม่ใคร่แสดงให้ผู้ใดได้เห็นบ่อยนัก ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียดเพียงลำพัง



นายพลหนุ่มก้าวเดินไปตามระเบียงด้วยฝีเท้าสม่ำเสมอเหมือนเตือนให้บรรดาข้ารับใช้ต้องหันกลับมาค้อมกายให้ทุกครั้งที่เจ้าตัวย่างเท้าผ่าน นายพลหนุ่มไซอัสในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มประดับด้วยเกลียวไหมทองและกางเกงสีดำสนิทมักทำให้ผู้คนรู้สึกเกรงอกเกรงใจอยู่เสมอแต่ไม่ใช่ด้วยยศสูงทางการทหารเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะบุคลิกที่มองดูเข้มแข็งงดงาม และการวางตัวสงบนิ่งด้วยอีกส่วนหนึ่งทำให้เขาถูกตั้งนามลับ ๆ กันในหมู่ทหารว่า “ นายพลเหมันต์ ”



ภายใต้หน้ากากเย็นชาและท่าทีสงบนิ่งเหมือนสายน้ำไหลเอื่อย ใครเลยจะนึก...ว่าแท้จริงแล้วนายพลหนุ่มนั้นเคยเป็นเด็กหนุ่มขี้เล่นมากขนาดไหนในวัยเยาว์ ดวงตาที่เคยทอประกายวาววับเริงร่า...ในตอนนี้กลับกลายเป็นดวงตาสีน้ำเงินเข้มคมกริบ ริมฝีปากเหยียดคมมองดูเหมือนเป็นคนหยิ่งทะนงตามประสานายทหารยศสูง แม้ริมฝีปากนั้นจะไม่ช่างเจรจา...แต่หากเอ่ยออกมาหนใดก็จะได้ยินคำพูดติดคมมีดและกระแสเชือดเฉือนในน้ำเสียงอยู่เสมอ



สุดทางเดิน...ประตูห้อง ๆ เดิมปิดสนิทอยู่เงียบงันคล้ายเป็นห้องร้าง แต่ทุก ๆ คนในบ้านใหญ่หลังนี้ต่างรู้ดีว่าเป็นห้องของคนที่สำคัญที่สุดคนหนึ่ง



ไซอัสหายใจเข้าลึกก่อนจะค่อย ๆ ผลักบานประตูหนาและหนักให้เปิดออกช้า ๆ ภาพ...ภาพที่เขาได้เห็นนั้นเหมือนกับจะกระชากนายพลหนุ่มให้หลุดออกจากความเป็นจริงของโลก เพราะสายลมที่พัดไหวนั้นพาให้ม่านสีขาวขอบลูกไม้กระพือไหวไล้ไปตามผิวแก้มที่ขาวซีด ดวงตาสีนิลทอดไปไกลนอกหน้าต่างโดยมีน้ำตาคลออยู่น้อย ๆ และเจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจแม้ว่าในขณะนั้นเส้นผมสีดำสนิทจะค่อย ๆ รุ่ยร่าย...ปอยผมบางส่วนสะบัดไหวไปตามแรงลม



“ ท่านพี่... ”



ดวงตาตมกริบสีน้ำเงินเข้มทอแววเจ็บปวดเบาบางวูบเดียวก่อนจะจางหายไป ร่างสูงเดินเข้าหาชายหนุ่มรูปร่างผอมบางซึ่งยืนนิ่งอยู่ริมหน้าต่างโดยไม่ไหวติงก่อนจะวางมือหนาอบอุ่นลงบนไหล่บางกว่าอย่างอ่อนโยนตามด้วยการลดใบหน้าคมกร้านลงซบกับไหล่บางกว่าของพี่ชายที่รักยิ่ง



“ คิดอะไรอยู่หรือท่านพี่... ”



ไซอัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงทอดอ่อน...เหมือนวันวานที่เขาเป็นเพียงเด็กน้อยและพยายามเอื้อมมือเล็ก ๆ คว้าพี่ชายคนโตไว้อยู่ตลอดเวลาด้วยอาการออดอ้อน และกิริยานี้ทำให้คนเป็นพี่ต้องยกมือผอม ๆ ขึ้นลูบศีรษะของน้อยชายก่อนจะเอ่ยด้วยรอยเสียงที่แม้ว่าจะทอดล้าแต่ก็อ่อนโยนเหมือนวันเก่า



“ ไซอัส เจ้านี่ แม้ว่าจะเติบโตแล้วแต่ก็ยังอ้อนพี่ได้เหมือนเดิมเลยนะ...เจ้าตัวยุ่งของพี่ ”



ไซอัสโอบร่างพี่ชายที่ดูโรยแรงออกจากบริเวณหน้าต่าง พาไปทรุดนั่งลงบนเตียงนอนกว้างใหญ่ก่อนที่ตัวเขาจะทรุดกายสูง ๆ ลงกับเก้าอี้บุนวมหนาสีเข้มข้างเตียง ดวงตาที่มีแววติดเย็นชาแปรเป็นทอดนิ่งอ่อนโยน



“ แล้วนี่ไม่ได้ไปทำงานหรือ ? ”



คนเป็นพี่เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นแต่ก็โรยล้า



“ ค่อนข้างว่างขอรับท่านพี่...วันนี้นายพลใหญ่ไปตรวจราชการตรงชายแดนทิศใต้ที่มีปัญหาเนิ่นนานมาตั้งแต่ฤดูก่อน เพราะชนพื้นเมืองให้การสนับสนุนพวกราชวงศ์เก่าอย่างลับ ๆ เนื่องจากถูกปลุกปั่นด้วยเหตุผลเกี่ยวกับวัฒนธรรมเหมือนเช่นเดิมที่เคยเป็น ”



ไซอัสเอ่ยเรียบง่ายเพราะรู้ดีว่าพี่ชายรู้เรื่องและความเป็นไปต่าง ๆ โดยตลอดเช่นกัน



“ จะว่าไปมันก็ถูกของเขานะ...สงครามและการปกครองด้วยระบบทหารบางทีก็ทำลายวัฒนธรรมประเพณีเก่าแก่ที่สั่งสมมานานคล้ายประวัติศาสตร์ของชนเผ่าและประเทศ ”



เสียงตอบจากผู้เป็นพี่อ่อนโยนแกมเศร้า...



- ผู้คนล้มตาย ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยการฆ่าฟันและรอยเท้าสีเลือด...รอยเท้าสีเลือดบนพื้นสีขาวของฤดูที่หิมะโปรย –



ร่างกายผอมแต่สูงโปร่งคิดคำนึงถึงภาพอดีตที่ติดในสมองมายาวนานหลายปีก่อนจะยิ้มระเรื่อยเหนื่อยล้าให้คนเป็นน้องทั้งดวงตาเจ็บปวด



“ ข้าหวังเพียงแค่...พวกเขาจะให้อภัย อภัยให้แก่ นาร์ซิลล์ ผู้นี้... ”



คำพูดนั้นทำเอาไซอัสครางออกมาอย่างระโหย เจ็บปวด...กับการมองพี่ชายที่รักยิ่งยังจมหัวใจอยู่ในความผิดบาปครั้งอดีต ดวงตาสีดำสนิทของคนพี่รื้นน้ำตาน้อย ๆ จนเขาต้องคว้าไหล่โรยแรงเข้าหาตัว เครื่องแบบทหารสีน้ำเงินที่เคยรีดจนเรียบกริบ...เขาไม่สนใจถ้ามันจะยับย่นจากการโอบกอดพี่ชาย ไม่สนใจแม้จะเปียกรอยน้ำตาของนาร์ซิลล์ เพราะสำหรับไซอัสแล้ว...พี่ชายผู้เป็นที่รักนั้นมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด



“ คฤหาสน์เหมันต์...ใครหนอช่างตั้งชื่อ ดูซิ...ตัวข้าได้ชื่อว่า มัจจุราชเหมันต์ แล้วนี่เจ้ายังได้ฉายาว่านายพลเหมันต์เสียอีก ช่างเป็นครอบครัวที่น่าเหน็บหนาวเสียจริง ๆ ”



นาร์ซิลล์เปรยด้วยกระแสขำขันแต่น้ำเสียงเจือไปด้วยร่อยรอยเจ็บปวด



“ ซาโอริมเองก็ได้นามขานเล่น ๆ ว่าสายลมแห่งเหมันต์...แต่ว่า ท่านพี่ก็น่าจะรู้ดีนี่ขอรับว่าเหมันต์แบบเราเป็นเหมันต์ที่อบอุ่นเพียงใด ”



เป็นที่รู้กันถึงความรักใคร่ของพี่น้อง 3 คน ...ต่างคนต่างเล่าลือถึงเจ้านายน้อย 3 คน แห่งคฤหาสน์เหมันต์...ที่รักกันยิ่งกว่าชีวิต



พี่ชายที่เกิดจากภรรยาคนแรก นามว่า นาร์ซิลล์ ได้รับนามที่ผู้คนทั่วไปฟังแล้วยังต้องหวาดหวั่น เป็นคน...ที่เป็นเหมือนตำนานของกองทัพยิ่งกว่าใครไหน...- มัจจุราชเหมันต์ –



น้องชายคนรองเกิดจากภรรยาคนที่ 2 นามว่า ไซอัส ได้รับยศนายพลตั้งแต่ยังหนุ่ม และได้ชื่อว่าเป็นนายพลที่อายุน้อยที่สุดของกองทัพ ได้รับนามขานเล่น ๆ จนติดปากจากลักษณะท่าทางของเจ้าตัวว่า...- นายพลเหมันต์ –



น้องชายคนเล็ก...นามว่า ซาโอริม แม้มิใช่เลือดแท้ของเจ้าบ้านเหมันต์รุ่นก่อน แต่ก็เป็นญาติสนิทที่กำพร้าพ่อแม่ ซึ่ง...ถูกรับมาเลี้ยงตั้งแต่ยังอายุไม่ถึงขวบปีดีนัก ดังนั้นแม้เลือดในกายจะมิใช่เชื้อสายตรงแห่งบ้านเหมันต์ แต่ก็ดำรงตนได้งดงามไม่ต่างจากพี่ชายทั้ง 2 คน อีกทั้งเป็นคนหนุ่มที่เก่งกาจหาตัวจับยากของพลบินจนได้รับนามเรียกกันภายในว่า...- สายลมแห่งเหมันต์ –



รอยกอดที่โอบประคองร่างกายที่โรยแรงนี้...ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คนเป็นน้องเติบโตขึ้น และร่างกายกลับสูงใหญ่เสียยิ่งกว่าเขา อีกทั้ง...วันวานที่เขาเคยโอบอุ้มร่างน้องชายตัวเล็กวิ่งเล่นทั่วบ้านนั้นคล้ายภาพฝันอันยาวนาน เพราะปัจจุบันนี้...เขาต่างหากที่ถูกคนเป็นน้องโอบกอดอยู่บ่อยครั้งราวกับจะพยายามเสนอตัวเป็นหลักยึด แบ่งปันความเจ็บร้าวทุกข์ทรมาน



“ เหมันต์อันอบอุ่น...จริงซินะ เหมันต์อีกหนึ่งก็อบอุ่นเช่นนี้แหละ เพียงแต่พี่ไม่อาจได้พบหน้านางอีกแล้ว ”



นาร์ซิลล์มองไกลผ่านไหล่ชองน้องชายไปยังบานหน้าต่างซึ่งมีสายลมพัดไหว...พาเอากลีบดอกไม้เข้ามาในห้องกว้าง เหมือนสีสันที่ค่อย ๆ ถูกเติมทีละน้อย ทีละน้อย ให้เขาได้รำลึกถึงวันวาน



ไซอัสกระชับอ้อมกอดแน่นเข้า เมื่อรู้สึกได้ถึงหยดน้ำตาอบอุ่น...หยาดหยดลงบนไหล่เสื้อเงียบงันและต่อเนื่อง โดยไร้ซึ่งเสียงสะอื้นไห้อย่างเช่นคนปรกติ



- น้ำตาเหมันต์...ยากนักใครจะได้เห็น

เลือดเหมันต์...ยากนักจะแปรสี

ใจเหมันต์...ยึดมั่นสิ่งใดจะระลึกไว้เช่นนั้น

และใจเหมันต์มิเคยเปลี่ยนแปร –



“ ท่านพี่...ข้าจะอยู่กับท่านตลอดกาล ซาโอริมเองก็คิดเช่นนั้น...อย่า อย่าได้ร่ำไห้...แม้นางจะถูกขังไว้ในเหมันต์แต่ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งท่านพี่จะได้นางคืนมา...ท่านพี่ต้องได้พบนางแน่นอน ”



ไซอัสเอ่ยกระซิบด้วยรอยเสียงสะท้านน้อย ๆ

นางผู้หนึ่งผู้ถูกเหมันต์ฤดูกักขังไว้ นางผู้เป็นที่รักของบ้านเหมันต์แม้มิใช่เครือญาติ นางผู้เป็นที่รัก...ของเจ้าบ้านเหมันต์



- นาง...ผู้เดียวที่มัจจุราชเหมันต์รู้สึกรักไม่เสื่อมคลาย –



รูปวาด...รูปเพียงรูปเดียวที่ถูกนำประดับไว้ในห้องนอนของนาร์ซิลล์ รูปที่ใช้ช่างฝีมือเยี่ยมและเวลาปั้นแต่งยาวนาน...สีสันบนผ้าใบนั้นจึงปราณีตบรรจงและเหมือนจริงราวกับบุคคลในภาพมีลมหายใจอยู่ตรงหน้า

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนในรูปตาสวยคล้ายดวงตาของนางกวาง ริมฝีปาก...แม้ไม่แดงโดดแต่งดงามตามธรรมชาติ เส้นผม...ยาวสยายเหยียดตรงราวกับธารไหมสีดำสนิททอดตัวไปตามเนื้อผ้าสีขาว หญิงสาวในภาพสวมชุดสีขาวครีมนั่งอยู่ในสวนสวยพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนหวาน ไม่ใช่แค่นาร์ซิลล์เท่านั้น...แม่แต่ไซอัส หรือแม้กระทั่งซาโอริม ก็ยังนึกรักนางด้วยใจ



ไซอัสและซาโอริมจึงไม่เคยคัดค้านเมื่อนาร์ซิลล์บอกแก่น้องทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มในวันหนึ่งเมื่อนานแสนนานมาแล้วอย่างปลาบปลื้ม



“ นางเป็นคนที่ข้ารัก ”



ในวันวาน...นาร์ซิลล์ยังเป็นชายหนุ่มสง่างามและเต็มไปด้วยไฟชีวิต เต็มไปด้วยแววตาขี้เล่นและไฟชีวิตโลดแรงยิ่งนัก



ไซอัสรัก...

และซาโอริมเทิดทูน…

สำหรับทั้งคู่...พี่ชายคนโตเป็นบุคคลที่รักยิ่งกว่าสิ่งใด และคนที่พี่ชายรัก พวกเขาก็ผูกพันด้วยเช่นกัน



ดังนั้นเมื่อวันหนึ่งพี่ชายในชุดทหารสีขาวลายทองที่เคยมองดูสง่างามสมนาม –เจ้าบ้านแห่งคฤหาสน์เหมันต์ - ...ได้กลับมาพร้อมร่างกายชืดเย็นของหญิงสาวที่เขารักยิ่ง ความเศร้าจึงเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้



ในครั้งนั้น...นาร์ซิลล์กลับมาพร้อมรอยเลือดเปื้อนเปรอะเต็มร่าง บาดแผลหลายแห่งฟ้องชัดถึงการต่อสู้ ฟ้องชัดถึงสงครามที่ติดพัน...ยาวนาน ชุดเครื่องแบบสีขาวจึงถูกย้อมด้วยรอยเลือดเหมือนหิมะขาวที่ถูกหยดโลหิตรินรด และพร้อม ๆ กันนั้น...ความสุขก็ไม่เคยมาเยือนหัวใจของมัจจุราชเหมันต์อีกเลยนับตั้งแต่ในวันนั้นเป็นต้นมา



จากบุคคลที่เชี่ยวชาญเชิงสงคราม เป็นบุคคลที่หลายคนหวั่นเกรงยามเข้าใกล้ เป็นบุคคลที่หลายคนต้องระแวดระวังคอของตนยามกรายเข้าหาเวลาที่ดวงตาสีดำดังนิลนั้นเต้นเร่าด้วยรอยโทสะ



ในวันนี้...ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่าสำหรับนาร์ซิลล์

เขาไม่คิดถึงอนาคต ไม่สนใจผู้คนอื่นใดนอกจากน้องรักทั้งสอง ร่างกายที่ทอดใจไปไกลจึงดูโรยแรงลงทั้งที่ชายหนุ่มยังมีอายุเพียงแค่ 26 ปี



ภายในดวงตางดงามที่วาววับด้วยรอยละมุนซึ่งหญิงสาวหลายคนหลงไหล บัดนี้ทอประกายเศร้า...เพราะร่างกายนี้ไร้ซึ่งความหวัง ไม่นึกถึงทางข้างหน้าแม้กระทั่งการแต่งงานและมีทายาทก็เป็นเพียงความฝันอันแสนไกลที่นาร์ซิลล์ไม่เคยฝันถึงอีกเลย



และท้ายที่สุดเขาก็วางมือจากงานของกองทัพจนกระทั่งในตอนนี้ไซอัสก็ได้รับตำแหน่งนายพลที่อายุน้อยที่สุดแทนมาจนปัจจุบันนี้...



**// จบตอน //**

แด่เธอ...” หิมะโปรย ” (บทนำ)

Fiction

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา