Mecha Story: จับฉ่าย (ในหลายๆความหมาย)

ไม่ได้เอามาลงเสียนานแฮะ (ไปหาข้อมูลกาโอคิงอยู่)





RGM-79C จิมรุ่นปรับปรุง "แวกเทล"

MSประจำตัวของแวน อาซิเลียโน สมาชิกของกลุ่มต่อต้านทิทานส์ คลาวนอส ซึ่งเดิมทีนั้นเป็นแค่จิมรุ่นปรับปรุงที่ใช้ชิ้นส่วนของจิมคอมมานด์ในการดูแลซ่อมแซม หน้าตาจึงคล้ายกับจิมคอมมานด์แต่มีสมรรถนะเท่ากับจิมรุ่นปรับปรุง แต่หลังจากที่หน่วยคลาวนอสได้เข้าสมทบกับคาราบา ก็ได้ใช้ชิ้นส่วนรุ่นทดลองของจิมทรีที่แอนาไฮม์กำลังพัฒนาอยู่มาปรับปรุง เป็นจิมรุ่นปรับปรุง "แวกเทล "แวกเทลนั้นมีท่อขับดันเสริมที่ไหล่กับขา เครื่องยนต์ของแวกเทลสามารถจุเชื้อเพลิงได้มากขึ้นทำให้ปฏิบัติการได้นานกว่าเดิม แวกเทลยังใช้บีมไรเฟิลของจิมทูว์ที่ต่อลำกล้องและติดกล้องเล็งแบบของกันดั้มให้ใช้งานได้ดีขึ้น โล่ของแวกเทลนั้นเล็กลง แต่ก็ฉาบบีมโค้ตและติดตั้งบีมเซเบอร์สำรองไว้สองเล่ม



แวกเทลยังได้รับการปรับปรุงต่อมาอีก โดยใช้ชิ้นส่วนของจิมคัสตอมรวมกับชิ้นส่วนทดลอง กลายเป็น MSK-003 แวกเทลทูว์ เนื่องจากตอนนี้มีลักษณะต่างจากจิมซีรีส์มากและมีเซนเซอร์แบบสองตา จึงถือเป็นMSรุ่นใหม่ไปเลย จุดเด่นของแวกเทลทูว์นั้นอยู่ที่แบ็คแพ็คซึ่งมีไบน์เดอร์ขนาดใหญ่อยู่ด้านหลังและมีกำลังขับเคลื่อนสูงมาก การปรับปรุงโครงสร้างของแวกเทลทูว์ยังทำให้ท่อขับดันที่ไหล่และขามีกำลังมากขึ้น อาวุธของแวกเทลทูว์นั้นยังเป็นแบบเดียวกับของแวกเทล แต่ที่ไบน์เดอร์นั้นติดบีมเซเบอร์ซ่อนไว้ด้วย





MSA-003+FXA-05D นีโมดีเฟนเซอร์

นีโมประจำตัวของดานิกา แม็คไกวร์ สมาชิกอีกคนของกลุ่มคลาวนอส ซึ่งนีโมเครื่องนี้แอนาไฮม์ได้ทดลองติดตั้งแบ็คแพ็คของกันดั้มมาร์คทูว์เพื่อทดสอบระบบของจิมทรีที่กำลังพัฒนาอยู่ นีโมเครื่องนี้จึงสามารถประกอบกับGดีเฟนเซอร์ที่ปรับแต่งโดยติดจานเรดาร์เพิ่มเข้าไปด้านหลังได้





NRX-033 มาตาบิริ

โมบิลฟอเทรสรุ่นต้นแบบที่ทิทานส์พัฒนาโดยได้แนวคิดจากบิ๊กแซม แม้จะมีขนาดใหญ่มากแต่มาตาบิรินั้นติดตั้งมินอฟสกี้คราฟท์ไว้ในตัวจึงสามารถบินได้ ใช้เกราะโลหะผสมลูนาไททาเนียมและยังติดตั้งIฟิลด์บาเรียร์ไว้จึงมีพลังป้องกันสูง อาวุธหลักของมาตาบิริก็คือปืนใหญ่มหาอนุภาคด้านหน้า เนื่องจากระบบระบายความร้อนของมาตาบิรินั้นต้องทำงานหนักจึงไม่ได้ติดอาวุธบีมอื่นๆอีก แต่ก็มีเครื่องปล่อยทุ่นระเบิดไฮด์บอมบ์และมัลติเพิลลันเชอร์12กระบอกซึ่งใช้ยิงมิสไซล์ต่อต้านอากาศยานเป็นอาวุธเสริม มาตาบิรินั้นไม่ได้ใช้ระบบไซคอมมิวในการควบคุมและต้องใช้นักบินสามคนช่วยกันบังคับ ซึ่งค็อกพิตของมาตาบิริจะแยกออกมาเป็นยานหนีภัยได้ ทิทานส์ได้ใช้มาตาบิริเข้าโจมตีหน่วยคลาวนอสที่นิวกินี ซึ่งพวกคาราบาได้ตั้งเรียกมาตาบิริด้วยรหัสว่า "แพนเค้ก"





RX-136-1 รากษส

MAความเร็วสูงรุ่นทดลองของทิทานส์ซึ่งพัฒนาโดยใช้แนวคิดจากบิโกร นอกจากความเร็วที่สูงกว่าMSทั้งหมดในยุคนั้นแล้ว รากษสยังได้รับการออกแบบให้สามารถปรับแต่งได้ง่ายจึงสามารถติดตั้งพาร์ทเสริมสมรรถนะอย่างIฟิลด์บาเรียร์ได้ ค็อกพิตของรากษสยังสามารถแยกออกไปเป็นยานหนีภัยได้ อาวุธมาตรฐานของรากษสก็คือมิสไซล์ลันเชอร์18ลำกล้องสองยูนิตด้านหลังกับปืนอนุภาค (ในรูปไม่ได้ติด) เมื่อเข้าต่อสู้ในระยะประชิด ส่วนขาที่พับไว้ในขณะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงก็จะพับลงมาและกางเป็นกงเล็บขนาดใหญ่ ซึ่งตรงกลางของกงเล็บนี้จะมีดาบความร้อนซ่อนไว้สำหรับใช้แทงศัตรูที่ถูกจับได้ ส่วนปีกของรากษสนั้นตอนปลายจะกางเป็นคีมจับซึ่งมีบีมเซเบอร์ติดไว้และสามารถพับเข้าเป็นแขนกลเพื่อเข้าต่อสู้ในระยะประชิดได้เช่นกัน



รากษสนั้นเป็นMAที่มีขนาดใหญ่พอสมควร สามารถเก็บในโรงเก็บของยานรบขนาดใหญ่อย่างยานชั้นโดกอสเกียร์และอเล็กซานดรียได้ แต่ถ้าประจำการบนยานรบขนาดเล็กกว่านั้นอย่างยานชั้นซาลามิสจะต้องแขวนไว้นอกตัวยาน





GZ-008 โซลไทเกอร์

ซอยด์สายพันธุ์เสือของเซจูโร่ อดีตแชมป์ซอยด์ทัวนาเมนต์สิบสมัยซ้อนก่อนจะลาวงการ โซลไทเกอร์นั้นมีลักษณะเด่นที่แผงรับแสงซึ่งช่วยรับพลังงานจากภายนอกและกระจายไปทั่วตัวโซลไทเกอร์ ทำให้มีสมรรถนะสูงมากและเป็นซอยด์ที่คล่องแคล่วที่สุด โซลไทเกอร์ติดตั้งอาวุธระยะไกลไว้เป็นปืนพินพอยน์เลเซอร์ ช็อคแคนน่อนสามลำกล้องที่หน้าอก และปืนใหญ่สองลำกล้องที่ปลายหาง แต่เนื่องจากสไตล์การต่อสู้ของเซจูโร่นั้นเน้นการต่อสู้ในระยะประชิดโดยอาศัยความเร็วของโซลไทเกอร์ อาวุธหลักของโซลไทเกอร์จึงเป็นเล็บเสือที่ติดไว้กับเท้าทั้งสี่ซึ่งทำจากโลหะ Ziและใช้การได้ดีกับเกราะไบโออาเมอร์ของไบโอซอยด์ โซลไทเกอร์ยังสามารถรวมพลังงานในตัวมาไว้ที่เขี้ยวเพื่อกัดศัตรูอย่างรุนแรงมากได้



แม้ว่าจริงๆแล้วโซลไทเกอร์จะนับเป็นซอยด์ชั้นยอด แต่เล็บเสือก็มีพลังทำลายไม่มากนัก ถึงปกติแล้วฝีมือของเซจูโร่จะสามารถชดเชยจุดอ่อนข้อนี้ได้ แต่เมื่อต้องสู้กับไบโอซอยด์ที่มีเกราะหนาอย่างไบโอวอลเคโนก็จะเสียเปรียบอย่างมาก ต่อมาโซลไทเกอร์จึงได้รับการปรับปรุงโดยติดตั้งโซลบูสเตอร์เป็นโซลไทเกอร์บูสต์ ซึ่งทำให้สมรรถนะของโซลไทเกอร์ยิ่งสูงขึ้นอีก และติดตั้งเล็บเสือที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมเอาไว้



(เรซไทเกอร์ ซึ่งเป็นซอยด์แบบเดียวกันกับโซลไทเกอร์ในภาคอื่นจะมีแผงรับแสงที่ดีกว่านี้ โดยสามารถดูดซับเลเซอร์ที่ศัตรูยิงมาแปลงเป็นพลังงานให้ตัวเองได้)





Type-J9 กริฟฟอน

เลเบอร์รุ่นทดลองที่ชาฟท์เอนเตอไพรส์สาขาญี่ปุ่นพัฒนาขึ้นเพื่อใช้เก็บข้อมูลสำหรับพัฒนาเลเบอร์ทหารในอนาคต กริฟฟอนนั้นเป็นเลเบอร์ที่ใช้เงินในการพัฒนาสูงมากและไม่มีแผนการผลิตเชิงพาณิช ซึ่งชาฟท์เองก็ได้ระงับการพัฒนาเลเบอร์ทหารอีกรุ่นคือ Type-R13X แฟนธอม เพื่อให้มีงบประมาณในการพัฒนากริฟฟอนเต็มที่ ข้อมูลที่ใช้ในการพัฒนากริฟฟอนนั้นก็ได้มาจากวิเคราะห์ข้อมูลที่อินแกรมการต่อสู้กับ Type-7B/2B บร็อคเคน ที่ชาฟท์ส่งไปอาละวาดในเมือง



กริฟฟอนนั้นนับได้ว่าเป็นเลเบอร์ที่ล้ำหน้ากว่าเลเบอร์ในยุคเดียวกันมากและมีสมรรถนะที่เหนือกว่าอินแกรม ความคล่องแคล่วที่สูงกว่าปกติของกริฟฟอนนั้น นอกจากจะเป็นเพราะใช้ชิ้นส่วนระดับสุดยอดแล้วยังใช้ OS "อสูร" (ASURA) ซึ่งใช้การบังคับด้วยคลื่นสมองช่วยในการบังคับแบบปกติ ทำให้กริฟฟอนตอบสนองต่อนักบินได้ดีกว่าเลเบอร์ทั่วๆไปมาก เกราะของกริฟฟอนเป็นไฟเบอร์และเซรามิกคล้ายกับอินแกรมแต่เสริมด้วยไททาเนียมจึงมีความทนทานสูงกว่ามาก เมื่อรวมกับพละกำลังที่สูงมากแล้ว กริฟฟอนจึงมีพลังในการต่อสู้ในระยะประชิดที่สูงมากทีเดียว แม้ชาฟท์จะได้ออกแบบปืนพกไว้แต่กริฟฟอนก็ไม่เคยใช้และต่อสู้ด้วยมือเปล่ามาตลอด ปีกด้านหลังของกริฟฟอนยังติดตั้งเครื่องยนต์เจ็ตไว้และเป็นเลเบอร์เครื่องแรกที่บินได้แม้จะไม่นานนัก



กริฟฟอนปรากฏตัวครั้งแรกในงานเลเบอร์โชว์และโค่นอินแกรมของโอตะกับอินแกรมอีโคโนมีได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับได้รับฉายาว่า"เลเบอร์สีดำ" แต่จริงๆแล้วกริฟฟอนมีจุดอ่อนที่การเคลื่อนไหวด้วยความสมรรถนะสูงนั้นทำให้ชิ้นส่วนของกริฟฟอนต้องทำงานหนักมาก ซึ่งในการต่อสู้ที่ยืดเยื้อนั้นชิ้นส่วนก็จะเริ่มเสียหาย ซึ่งในภายหลังนั้นกริฟฟอนก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักในการต่อสู้กับอินแกรมของอิซึมิ โนอา และพังไปหลังจากที่บินหนีแล้วตกลงไปในทะเล แต่ชาฟท์ก็ได้สร้างกริฟฟอนขึ้นมาใหม่อีกเครื่อง โดยคราวนี้ได้เตรียมOSแบบปกติ (นอมอลโหมด) ไว้ด้วย และได้เพิ่มปีกแบ็คแพ็คแบบไฮโดรเจ็ตเพื่อให้ใช้งานในน้ำได้
Super Robot Wars Games Mecha Story

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา