[Story] FFXI Background Stories

(ของเก่ามันโดนบอร์ดล่มใส่ reply เนื้อเรื่องต่อหายหมดเลย ขอโพสอีกทีละกันนะ)



แปล เรียบเรียง และดัดแปลงจาก http://stormclan.com/machina/community/viewtopic.php?t=995

แปลโดย Dr.Cid

ปล. อ่านก่อนเล่นจะทำให้ทำ Quest, Mission สนุก เข้าใจง่ายขึ้นมากเลยครับ ทั้ง 3 เมืองและ Zilart เนื้อหาส่วนต้นยังรวมไปถึง Promathia และที่มาของ Tavnazia อีกด้วย



Final Fantasy XI the stories...

Chapters list

1. ตำนาน

2. ความจริง

3. ยุคสมัยแห่งอสุรกาย

4. ยุคสมัยแห่งเวทยศาสตร์

5. ยุคสมัยแห่งพลัง

6. ยุคสมัยแห่งกลศาสตร์

7. ภารกิจแดนเหนือ

8. จัทรคราส

9. ศึกชิงแดนเหนือ

10. การกำเนิดของจูโน่

11. สงครามคริสตัล

12. ยุคแห่งนักผจญภัย



1. ตำนาน...

นานแสนนานมาแล้ว ท่ามกลางความมืดมิดของจักรวาลอันว่างเปล่า มหาศิลาอันมีจิตวิญญาณและความนึกคิดได้ถือกำเนิดขึ้น... มหาศิลาได้ปัดเป่าความมืดมิดและให้กำเนิดเหล่าทวยเทพผู้ครองอำนาจอันไร้ขีดจำกัด ก่อนที่เหล่าทวยเทพจะได้เสกสร้างดินแดนแห่งสวนสรรค์นาม "วานาดีล" และเสวยสุขกันอย่างสงบจนกระทั่งถึงกาลเวลาที่จะต้องเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์ ก่อนนั้นเองที่เหล่าทวยเทพได้ให้กำเนิดทายาทที่ได้สร้างอารยธรรมของพวกเขาเองในเวลาต่อมา... พวกเขาเหล่านั้นท่องเที่ยวไปทั่วผืนฟ้า สกัดสินแร่จากกรวดดิน และพลิกฟื้นผืนดินอันว่างเปล่าให้กลายเป็นสีเขียวขจีไปทั่วแดน และพวกเขาเหล่านี้ก็ถูกขนานนามว่า "แอนเชียน" (Ancients) ในเวลาต่อมา... คราวเคราะห์ได้มาถึง เมื่อเหล่าแอนเชียนเกิดความทะเยอทะยานที่จะกลับไปสู่ดินแดนของทวยเทพผู้ให้กำเนิด พวกเขาสืบแสวงหาหนทางสู่ประตูสวรรค์และมุ่งจะเปิดมัน... ผู้เฝ้าประตูสวรรค์เมื่อมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็พลันบันดาลโทสะในความโอหังทะยานอยากของเหล่าแอนเชียนจึงได้สำแดงอิทธิฤทธิ์สาปส่งให้บ้านเมืองและอารยธรรมทั้งหมดของแอนเชียนพังพินาศและจมลงสู่ก้นทะเลลึก... ไม่นานหลังจากนั้นเองที่ "อัลทาน่า" เทวีแห่งชีวิตและการสร้างสรรค์ ได้ตื่นขึ้นจากการหลับไหลและได้เห็นเศษซากปรักหักพัก ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นวานาดีลอันงดงาม นางบันดาลเกิดความรู้สึกซึ่งน้อยนักที่ทวยเทพองค์ใดจะได้มีนั่นคือ... "ความโศกเศร้า"... เทวีอัลทาน่าได้หลั่งน้ำตาด้วยความอาลัยในโลกที่นางได้เคยรังสรรค์ขึ้น... หยาดน้ำตาของนางได้ไหลรินลงสู่ผืนธุลีและชำระล้างความเสียหายทั้งมวลสิ้นไป... และหยาดน้ำตาห้าหยดสุดท้ายของนางที่ได้สัมผัสผืนดินนั้นก็ได้ให้กำเนิดชนทั้งห้าเผ่าผู้อาศัยในวานาดีลในกาลต่อมา อันได้แก่ ฮิวม์(มนุษย์), เอลวาน, ทารุทารุ, มิธรา และ กัลก้า ซึ่งแม้จะมีความแตกต่างกันไปตามชาติพันธ์แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็รักในความสงบสุขเช่นเดียวกับผู้ให้กำเนิด... ด้วยความโศกเศร้าที่ยังคงอยู่เทวีอัลทาน่าจึงได้จากไปอีกครา และปล่อยให้ดินแดนแห่งวานาดีลค่อยๆกลับเติบโตขึ้นใหม่อีกครั้งด้วยความผาสุข...



แต่เรื่องราวก็ยังมิได้จบเพียงเท่านี้...



ยังมีเทพอีกองค์หนึ่งซึ่งได้ตื่นจากนิทรารมณ์ขึ้นพร้อมกันและแฝงเร้นกายเฝ้ามองการกระทำทั้งหมดของเทวีอัลทาน่า... "โพรมาเธีย" มหาเทพเห่งสนธยา ซึ่งพิโรธยิ่งนักเมื่อได้เห็นความเมตตาของเทวีอัลทาน่าที่มีต่อเหล่าทายาทผู้โอหัง จึงได้สาปส่งให้ชาติพันธ์ทั้งห้านั้นมีความชั่วร้ายในสันดานที่ติดตัวไปชั่วกาล อันได้แก่... ความยะโสของเอลวานน์... ความริษยาของมวลมนุษย์... ความเห็นแก่ตัวของมิธรา... ความขลาดเขลาของทารุ... และความกราดเกรี้ยวของกัลก้า... ด้วยหมายจะให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธ์จนมิอาจเกิดความสงบสุขให้ได้บังอาจริคิดเปิดประตูสวรรค์อีกครา... แต่เพียงเท่านั้นยังมิสาสมใจ องค์เทพโพรมาเทียยังได้หยดโลหิตหกหยาดของตนลงสู่ผืนดินแห่งวานาดีลก่อให้เกิดเผ่าปีศาจทั้งหก (อันได้แก่ Orc, Yagudo, Quadav, Antican, Gigas และ Sahagin ที่เหลือแท้จริงแล้วจึงไม่นับเป็น Children of Promathia) ซึ่งจะคอยสร้างความหวาดกลัวและความทุกข์ยากให้กับทุกชีวิตในวานาดีลสืบไป เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าพวกมันเหล่านั้นจะไม่สามารถริอ่านเปิดประตูสวรรค์ได้อีกตลอดไป...



อย่างไรก็ตาม... ยังคงมีเรื่องสุดท้ายที่ยังคงเล่ากล่าวขาน...



ขณะที่เทวีอัลทาน่านั้นโบกปีกโผบินสู่ห้วงแห่งความเสรี... แต่โพรมาเธียนั้นเล่ากลับถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่ตรวน... กล่าวกันว่าตรวนเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่โพรมาเธียสร้างขึ้นเพื่อจองจำตนเอง... เรื่องเล่าขานนี้เป็นความจริงหรืออย่างไร? และหากเป็นความจริง... เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น...? มิมีผู้ใดล่วงรู้...



2. ความจริง...

ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของวานาดีลที่ได้บันทึกสืบทอดกันมานั้นออกจะต่างจากนิทานปรำปราที่เล่าขานกันอยู่บ้าง แม้ไม่มีผู้ใดทราบช่วงเวลาแน่ชัด แต่ก่อนที่เผ่าพันธ์ทั้งห้าในปัจจุบันจะถือกำเนิดบนวานาดีลนั้น พิภพแห่งนี้ถูกครอบครองด้วยชนสองเผ่าพันธ์ใหญ่ หนึ่งคือ คูลู (Kuluu) ผู้ปรับตัวเข้ากับธรรมชาติและอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน สงบและเรียบง่าย ชาวคูลูได้ก่อตั้งเมืองหลวงขึ้นสามแห่ง หนึ่งนั้นอยู่บนผืนที่ราบกว้างใหญ่ทางตอนใต้นามว่าซารูทาบารูทา (Sarutabaruta) (หรือที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันคือซากปรักแห่งโฮรูโตโต (Horutoto Ruin)) อีกหนึ่งนั้นอยู่บนเทือกเขาทางตอนเหนือซึ่งในปัจจุบันเหลือเพียงร่องรอยแห่งการถูกทำลายที่รู้จักกันในนามของทุ่งน้ำแข็งบอซดีน (Beaucedine Glacier) และแห่งสุดท้ายนั้นคืออารามหลวงแห่งอูกาเลปิ (Temple of Uggalepih) ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางป่าลึกแห่งโยฮ์ธ (Yhoator Jungle) เผ่าพันธ์ใหญ่อีกเผ่าพันธ์หนึ่งนั้นได้แก่ชนชาวซีลาร์ท (Zilart) ซึ่งแม้จะมีจำนวนไม่มากนัก แต่กลับเปี่ยมล้นด้วยพลังอำนาจอันแฝงเร้นอยู่ จนพูดได้ว่าแม้ชาวคูลูที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่อาจเทียบพลังได้กับชาวซีลาร์ทที่อ่อนแอที่สุดได้



นอกจากสองเผ่าพันธ์ใหญ่ดังกล่าวแล้ว ยังมีสตรีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวนเพียงน้อยนิดอันถูกขนานนามว่า ดอวน์เมเดน (Dawnmaidens สตรีแห่งอุษา) พวกนางเป็นผู้ที่ถือว่ามีสัมพันธ์และสามารถติดต่อกับเหล่าทวยเทพได้โดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเทวีอัลทาน่า และได้รับพลังอำนาจจากผู้เฝ้าประตูสวรรค์เพื่อให้สามารถเปิดประตูสวรรค์ได้ตามปรารถนา



ชาวซิลาร์ทนั้น...ก็เป็นเช่นเดียวกับผู้เปี่ยมอำนาจทั้งมวล... ย่อมแสวงหาพลังอำนาจเพิ่มเติมอย่างไม่หยุดยั้ง...

ภายใต้คำสั่งของสองผู้นำ เอลด์นาช (Eald'narche) และคามลานอวท์ (Kam'lanaut) ซิลาร์ทเริ่มเริ่มรุกไปทั่วดินแดนจรดปลายฟ้าเพื่อแสวงหาพลังอำนาจแห่งทวยเทพและหนทางสู่สวรรค์ พวกเขาใช้กำลังบังคับให้ชาวคูลูตลอดจนดอวน์เมเดนเข้าร่วมแผนการนั้น ชาวซิลาร์ทเริ่มแผนการก่อสร้างพาหนะขนาดมหึมาเพื่อบรรลุแผนการสู่สวรรค์นามว่า "ทูเลีย" (Tu'lia) ซึ่งเป็นเสมืองเมืองหลวงขนาดใหญ่ที่สามารถลอยอยู่บนท้องฟ้าได้เพื่อใช้เป็นฐานที่มั่น และได้สร้าง "เฟย์ยิน" (Fei'yin) ปราสาทขนาดยักษ์บนพื้นโลกซึ่งเปรียบเหมือนหอบังคับการภาคพื้นดิน นอกจากนี้แล้วยังได้สร้างกำแพงหินขนาดใหญ่ทอดขวางเป็นทางยาวไปรอบโลกเพื่อรวบรวมพลังงานอันไร้ขีดจำกัด ซึ่งยังคงเหลือเป็นอนุสรณ์ในปัจจุบันที่รู้จักกันดีในนามของแท่งศิลาทั้งสาม (Crag of Holla, Mea และ Dem) และกระดูกสันหลังมังกร (Drogaroga's spine) แท่งหินเหล่านี้ได้ดูดซับพลังงานจากทั่วดินแดนวานาดีลและส่งไปยังศูนย์กลางที่เปรียบเสมือนเตาพลังงานหลักที่ถูกสร้างไว้บนเกาะคูฟิม (Qufim island) ซึ่งส่งต่อพลังงานไปค้ำจุนให้ทูเลียสามารถลอยอยู่บนท้องฟ้าได้ และในท้ายที่สุดประตูสู่สวรรค์ก็ได้ถูกสร้างขึ้นภายใต้ชื่อของ โรเมฟ (Ro'Maeve)



และด้วยอำนาจวิเศษของดอว์นเมเดนที่สามารถเปิดประตูสวรรค์ ในที่สุดหนทางสู่สวรรค์ก็เข้ามาใกล้ชาวซีลาทเพียงแค่เอื้อมมือ...



ไม่แตกต่างจากตำนานที่เล่าขาน พลังมหาศาลจากการเปิดประตูสวรรค์นั้นเกินกว่าที่ซิลาร์ทจะควบคุมได้ ผู้เฝ้าประตูสวรรค์ได้ส่งเหล่าดอวน์เมเดนกลับลงยังผืนโลกพร้อมกับชาวคูลู แต่สำหรับเหล่าซิลาร์ทผู้ทะยานอยากแล้วไม่มีความปราณีใดๆ พลังงานอันมหาศาลได้ท้นกลับมายังเฟย์ยินและเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่เกือบจะทำให้ทั้งแผ่นดินแหลกเป็นจุล พลังงานยังได้ย้อนกลับไปตามกระดูกมังกรและทำให้เกิดการทำลายไปทั่วผืนแผ่นดิน ผืนดินทางตอนเหนือซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นดินแดนสีเขียวอันอุดมกลับกลายเป็นทุ่งร้างไร้ชีวิตภายในชั่วพริบตา ส่วนเหล่าคูลูก็ได้รับผลกระทบจากพลังงานนั้นและค่อยๆกลายพันธ์ไปเป็นสิ่งมีชีวิตแคระสีเขียวที่เรียกกันต่อมาว่าทอนเบรี่ (Tonberry) ส่วนดอวน์เมเดนทั้งหมดนั้นสูญเสียกายเนื้อไปสิ้นจากการระเบิดคงเหลือไว้เพียงจิตวิญญาณซึ่งยังได้รับความคุ้มครองจากผู้เฝ้าประตูสวรรค์ให้ยังสามารถดำรงอยู่และรอคอยการจุติใหม่อีกครั้ง



ซิลาร์ท...ผู้ซึ่งความทะเยอะทะยานนับสิบนับร้อยปีได้พังทลายลงในชั่วข้ามคืน คงเหลือรอดอยู่เพียงหยิบมือและได้เกิดความสำนึกในความผิดพลาดจึงพยายามที่จะนำโลกที่ยังคงเหลือกลับสู่ความสงบ เหลือเพียงแต่ชะตากรรมของสองผู้นำเอลด์นาชและคามลานอว์ทที่ยังมิอาจทราบชัด...



3. ยุคสมัยแห่งอสุรกาย

แรงระเบิดและพลังเวทย์มนต์มหาศาลนอกจากจะส่งผลกระทบให้ชาวคูลูค่อยๆกลายพันธ์ไปเป็นทอนเบรี่แล้วยังส่งผลให้เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไปเป็นอสุรกายเผ่าพันธ์ต่างๆดังที่เห็นได้ในยุคปัจจุบัน เผ่าพันธ์เหล่านี้ได้รุกรานเข้าครอบครองแผ่นดินส่วนใหญ่ภายหลังจากสูญสิ้นอารยธรรมของซิลาร์ท สามเผ่าพันธ์ปีศาจที่ใหญ่ที่สุดได้แก่ ออร์ค(Orc), ยากุโด้(Yagudo) และควาเดฟ(Quadav) ในกลุ่มพวกมันเหล่านี้ เผ่าออร์คได้ชื่อว่าเป็นเผ่าที่กระหายสงครามมากที่สุด เผ่าพันธ์ของพวกมันถือกำเนิดขึ้นในป่าทึบในตอนเหนือของทวีปคูออน ถัดไปคือยากุโด้ เผ่าพันธ์อมนุษย์กึ่งนกที่มีความภาคภูมิในความเชื่อของตนที่ว่ามีความเกี่ยวพันกับเหล่าทวยเทพ ซึ่งความเชื่ออันแปลกประหลาดของพวกมันก็เหนี่ยวนำให้ก่อสงครามกับชาววานาดีลตลอดมา และท้ายสุดคือควาเดฟอมนุษย์กึ่งเต่าซึ่งมีความลุ่มหลงในอัญมนีและสินแร่ที่งดงาม พวกมันจึงสร้างรังขนาดใหญ่รุกรานไปตามเหมืองแร่ต่างๆและมีแหล่งที่พำนักสำคัญอยู่ในบึงใหญ่ทางตอนใต้ของทวีปคูออน



ยังมีเผ่าพันธ์อสุรกายอีกจำนวนหนึ่งซึ่งกระจายอยู่ตามส่วนต่างๆของวานาดีล ณ ทวีปใหญ่ทางตะวันตกเฉียงใต้เป็นที่อาศัยของเหล่าแอนติกัน(Antican) มดยักษ์ที่เดินสองขาแบบมนุษย์ที่ได้สร้างรังใต้ดินขนาดยักษ์เชื่อมต่อไปทั่วบริเวณ ทุ่งน้ำแข็งร้างทางตอนเหนือกลายเป็นรังของเหล่ายักษ์เขียวที่เรียกกันว่ากิกาส(Gigas) และเผ่าพันธ์ที่มีจำนวนน้อยที่สุดคือซาฮากิน(Sahagin) มนุษย์ปลาที่อาศัยอยู่ในถ้ำและบึงใหญ่น้อยบนชายฝั่งตะวันตกของทวีปเล็กๆทางตอนใต้ พวกมันทั้งหกเผ่าพันธ์ได้ค่อยๆเพิ่มจำนวนและมากเกินกว่าจะควบคุมจนกระทั่งในปัจจุบัน



ไม่นับเผ่าพันธ์ของมนุษย์และเอลวานซึ่งเป็นเผ่าที่เก่าแก่มิอาจบอกได้ว่าเผ่าพันธ์ใดเกิดขึ้นได้ก่อน สามเผ่าพันธ์ที่จัดได้ว่าถือกำเนิดขึ้นภายหลังบนผืนแผ่นดินวานาดีลก็ได้ร่วมกันต่อสู้กับเหล่าอสูรกายอย่างกล้าแกร่งมิแพ้กัน



กัลก้า เผ่าพันธ์แห่งนักรบผู้เกิดมาพร้อมกับร่างกายกำยำและพลกำลังอันมหาศาล เป็นแรงสำคัญที่ได้ช่วยสร้างอารยธรรมใหม่ให้กับวานาดีล พวกเขาได้สร้างเมืองหลวงของเหล่ากัลก้าขึ้น ณ ใจกลางของทวีปคูซอทซ์ (Kuzotz) ด้วยความแข็งแกร่งของเหล่ากัลก้าทำให้พวกเขาสามารถขับไล่เหล่าอสุรกายออกไปจากดินแดนนั้นได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ล่วงรู้... ภายใต้เมืองใหญ่ที่พวกเขาภาคภูมิใจนั้นเองที่เหล่าทหารมดแอนติกันได้สร้างรังใต้ดินขนาดมหึหาพร้อมกับสร้างสมกำลังพลมากมายอย่างที่เหล่ากัลก้ามิอาจคาดถึง เหล่าแอนติกันได้ทราบถึงกำลังของกัลก้าโดยตลอดในขณะที่อีกฝ่ายมิได้แม้แต่จะรู้ตัวถึงการดำรงอยู่ของอีกฝ่าย เมื่อเวลามาถึง แอนติกันได้เริ่มรุกรานเมืองหลวงแห่งความภูมิใจของชาวกัลก้าอย่างฉับพลัน และด้วยกำลังพลที่เป็นรองอย่างมากมายทำให้กัลก้าส่วนใหญ่ต้องสิ้นชีพไปในสงครามครั้งนั้น กัลก้าเพียงหยิบมือที่เหลือรอดอยู่ต้องถอยร่นผ่านอุโมงค์ลับโบราณไปยังดินแดนใหม่ที่เหล่าแอนติกันไม่สามารถติดตามไปได้ ที่นั่นเองที่พวกเขาได้พบกับมนุษย์ และได้ร่วมกันสร้างอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ต่อมา... แม้จะพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนั้นแต่เหล่ากัลก้ายังคงจดจำความเคียดแค้นในครั้งนั้นได้อยู่เสมอและปรารถนาอยู่ทุกชั่วยามที่จะได้แก้แค้นอีกครั้ง ซากปรักแห่งความรุ่งเรืองนั้นในปัจจุบันได้ตกอยู่ภายใต้การครอบครองของเหล่าแอนติกันซึ่งจมลึกอยู่ภายใต้เนินทรายแห่งทวีปคูซอทซ์อันเป็นที่รู้จักกันในนามของ "ถ้ำทรายดูด" (Quicksand cave)



เผ่าพันธ์ที่สองคือเหล่ามิธรา เหล่านักรบกึ่งแมวผู้ปราดเปรียวและปี่ยมด้วยเล่ห์กลศึก ด้วยความแปลกประหลาดตามธรรมชาติที่ทำให้เผ่าพันธ์นี้มีบุรุษเพศกำเนิดขึ้นน้อยมาก จึงทำให้บทบาทในการดำเนินชีวิตต้องแตกต่างออกไป มิธราชายนั้นกลับเป็นผู้ที่จะต้องอยู่ดูแลบ้านเรือนและมิธราเยาว์วัย ในขณะที่สตรีชาวมิธรานั้นจะเป็นชนชั้นปกครองมีอำนาจชั้นสูงและเป็นนักรบของเผ่า ชาวมิธร่าสร้างอารยธรรมเล็กๆบนเกาะเอลชิโม่(Elshimo) ทางตอนใต้ของโลก และเนื่องจากความชุกชุมของเหล่าอสูรรกายที่รายรอบบนเกาะนั้นเอง ทำให้พวกเธอต้องง่วนอยู่กับการปกป้องอาณาเขตจนไม่มีเวลาที่จะแสวงหาดินแดนใหม่หรือเคลื่อนย้ายแหล่งพำนักไปยังสถานที่อื่นใด จะมีบ้างก็เพียงมิธร่าหญิงจำนวนน้อยที่ออกท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง



เผ่าพันธ์สุดท้ายคือทารุทารุตัวน้อย... พวกเขาเหล่านี้แม้จะมีรูปกายไม่ใหญ๋โตแต่กลับแฝงไว้ด้วยปัญญาอันฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ด้วยความที่อ่อนด้อยในเรื่องของการต่อสู้ ทำให้เผ่าพันธ์ทารุตกเป็นเป้าหมายของเหล่าอสุรกายทุกเผ่าพันธ์ การถูกโจมตีไม่หยุดหย่อนทำให้เหล่าทารุค่อยๆลดจำนวนลง จนพวกเขาต้องพยายามเสาะแสวงหาดินแดนใหม่ที่จะอาศัยได้อย่างสงบสุขและห่างไกลภยันตรายต่างๆ หลักจากที่ได้พบที่ราบกว้างใหญ่ทางตอนใต้ที่ยังไม่ถูกยึดครองโดยเหล่าอสูรร้าย พวกเขาก็ได้ลงหลักปักฐานและสร้างเมืองใหญ่ และขนานนามว่า "วินเดิร์ส"(Windurst) ไม่นานนักหลังจากก่อตั้งเมือง สตรีชาวทารุทารุคนนึงได้เข้าไปตรวจสอบซากปรักหักพังที่กระจัดกระจายอยู่โดยรอบ และสามารถติดต่อกับชนเผ่าซิลาร์ทคนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่โดยบังเอิญ บริเวณนั้นเองที่ถูกขนานนามว่า บ่อจันทรา(The Full Moon Well) มาจนถึงในปัจจุบัน ในเวลานั้นเองที่เธอได้รับความรู้เกี่ยวกับอำนาจเวทย์มนต์มาเป็นครั้งแรกและได้ถ่ายทอดให้กับเหล่าทารุทั้งมวล พร้อมกันนั้นเธอยังได้รับดวงตาหยั่งรู้ "บันทึกแห่งพระเป็นเจ้า" ซึ่งสามารถจะส่องเห็นเหตุการณ์ในอนาคตได้ และนันคือจุดถือกำเนิดของ "สตาร์ซีบิล" (Star Sybil) รุ่นแรก ซึ่งได้รับการเทิดทูนขึ้นเป็นผู้ชี้ทางแห่งวานาดีลในเวลาต่อมา สตาร์ซีบิลได้เป็นแกนนำในการศึกษาค้นคว้าเรื่องเวทย์มนต์และได้นำพาให้เหล่าทารุตลอดจนชาติพันธ์อื่นๆทั่ววานาดีลได้รับรู้อำนาจของเวทย์มนต์ จนนำพาวานาดีลเข้าสูยุคสมัยแห่งเวทยศาสตร์ต่อมา



4. ยุคสมัยแห่งเวทย์มนต์

ภายใต้การชี้นำจากสตาร์ซีบิลและความรู้ในเวทยศาสตร์ที่ได้ค้นพบ สมาพันธรัฐวินเดิรส์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น เป็นช่วงเวลาเดียวกับกองที่กำลังของเหล่ายากุโด้ได้รวมตัวกันหมายที่จะยึดดินแดนของตนกลับคืนมา แต่เหล่าด้วยพลังเวทย์มนต์ที่ได้เรียนรู้ก็ทำให้เหล่าทารุทารุสามารถขับไล่พวกมันออกไปได้สำเร็จอย่างง่ายดาย และวินเดิร์สก็เข้าสู่ยุคแห่งความรุ่งโรจน์ที่เวทยศาสตร์และความรู้ในแขนงต่างๆได้เฟื่องฟูขึ้นอย่างรวดเร็ว



ในช่วงนี้เองที่ชาวมิธราบางส่วนเริ่มต้องการจะหลีกหนีจากชีวิตอันน่าเบื่อหน่ายบนเกาะเอลชิโม่ ประกอบกับได้รับทราบเรื่องราวเกี่ยวกับชนต่างเผ่าผู้ทรงพลังเวทย์จากมิธราที่ได้เคยออกท่องไปในโลกกว้าง พวกเธอเหล่านั้นจึงได้ตัดสินใจที่จะท่องทะเลออกไปจากเกาะเพื่อแสวงหาสิ่งแปลกใหม่ที่ได้ยินได้ฟัง ยังความโกรธเคืองให้แก่ผู้นำของเหล่ามิธราที่มิธรารุ่นเยาว์เหล่านั้นฝ่าฝืนกฏแห่งความสันโดษที่ถือปฏิกันมาเนิ่นนาน จึงได้ประกาศให้มิธราที่ฝ่าฝืนออกท่องไปจากเกาะนั้นไม่ให้ได้รับอนุญาติให้เหยียบย่างกลับเข้ามาที่เอลชิโม่อีกต่อไป แต่กระนั้นอาญาสิทธินี้ก็มิอาจหยุดยั้งความต้องการที่จะออกสู่โลกกว้างของเหล่ามิธราสาวได้ และ ในที่สุดกลุ่มของมิธร่าที่ออกมาแสวงหาโลกใหม่ก็ได้เดินทางมาถึงวินเดิร์สและได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากชาวทารุทารุ เนื่องจากพละกำลังและความปราดเปรียวของพวกเธอที่สามารถทดแทนจุดด้อยในการต่อสู้ของเหล่าทารุทารุได้ การอยู่ร่วมกันจึงทำให้เกิดประโยชน์และเป็นข้อได้เปรียบในการอยู่รอดอย่างมากมาย ดังนั้นแล้ว เหล่ามิธร่าจึงได้รับการอนุญาติให้อาศัยอยู่ร่วมกับทารุในวินเดิร์สโดยมีข้อแลกเปลี่ยนโดยที่พวกเธอจะต้องทำหน้าที่เป็นหน่วยทหารราบและกองหน้าสำหรับกองกำลังของเหล่าทารุทารุ ซึ่งพวกเธอก็มีความยินดีเช่นนั้น ไม่นานหลังจากนั้นเมื่อกำลังของทารุทารุและมิธราผนึกรวมกันเข้มแข็งขึ้น พวกเขาก็ได้ขยายอาณาเขตเมืองออกไป โดยได้ร่วมกันสร้างเมืองมัวร่า(Mhaura) บนเชิงผาติดทะเลทางตะวันออกของทวีป ซึ่งเป็นเสมือนเครื่องเตือนใจชาวมิธร่าให้คิดถึงบ้านเกิดติดฝั่งทะเลที่เคยจากมา และนั่นเองที่ทำให้มัวร่า ซึ่งแม้จะเป็นเพียงเมืองเล็กๆ แต่ก็เป็นเมืองที่มีความสำคัญต่อชาวมิธร่าทุกคนที่ได้จากมาตุภูมิมา



ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปที่เหล่าทารุทารุได้สั่งสมวิทยาการและความรู้ด้านเวทยมนต์ของตนมากขึ้น ความรู้นั้นก็ได้แพร่สะพัดออกไปสู่ชนชาติอื่น รวมถึงแม้กระทั่งเหล่าเผ่าปีศาจทั้งหลายเช่นกัน ในเวลาไม่นานนักชนทุกชาติทุกเผ่าพันธ์ก็ได้รับความสามารถในการใช้เวทย์มนต์ และที่เลวร้ายที่สุดก็คือเผ่าอสูรร้ายทั้งหกก็ได้พลังอันร้ายกาจนั้นไว้ในครอบครองเช่นกัน ยังความเสียใจกลับมาสู่เหล่าทารุทารุที่ไม่สามารถควบคุมความลับในวิชาการของตนที่ได้อุตส่าห์สั่งสมไว้เป็นระยะเวลานานไว้ได้ พวกเขาจึงปิดชายแดนและตัดการติดต่อกับเพื่อนบ้านพันธมิตรทั้งหมด ยังเหลือไว้เพียงมิธราซึ่งอยู่ร่วมกันมาตลอดเท่านั้น ทำให้อาณาจักรแห่งความภาคภูมิใจนั้นหลบซ่อนจากการเข้าถึงของชาวโลกมาแสนนาน



5. ยุคสมัยแห่งกำลัง

เวทยศาสตร์นำมาซึ่งความรุ่งเรืองและความขัดแย้งต่อชาววานาดีลในขณะเดียวกัน เป็นช่วงเวลานี้เองซึ่งเผ่าเล็กๆอย่างเอลวานได้สร้างสมความรุ่งเรื่องขึ้น ด้วยพลังเวทย์มนต์ที่ได้พัฒนาขึ้นมาใหม่รวมกับวิญญาณนักรบที่ถ่ายทอดกันมารุ่นต่อรุ่นของเหล่าเอลวาน ทำให้พวกเขาขยายอำนาจและก้าวขึ้นเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงเวลานั้น และได้สถาปนาเมืองหลวงจากจากเมืองเล็กๆที่อาศัยอยู่ในป่าโปร่งตอนกลางของทวีปคูออนขึ้นเป็นราชอาณาจักรแห่งซานโดเรีย ครั้นเมื่อเหล่าทารุทารุไม่ได้เป็นผู้ถือครองอำนาจเวทย์มนต์เพียงผู้เดียวอีกต่อไป เหล่าเอลวานซึ่งเปี่ยมพลังอำนาจด้วยการจัดระเบียบทัพอย่างอัศวินและความกล้าหาญก็ทำให้ไม่มีศัตรูหน้าไหนที่พวกเขาต้องเกรงกลัว ความกล้าหาญในจิตใจของเหล่าเอลวานนั้นมาจากความศรัทธาอย่างลึกซึ้งต่อเทวีอัลทาน่าที่พวกเขานับถือ และในขณะที่มีการเลือกแต่งตั้งผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งกษัตริย์ตามหลักมนเฑียรบาล ก็มีการแต่งตั้งตำแหน่งผู้นำทางศาสนา "Papsque" ผู้ที่ถือครองอำนาจอันมิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน



เหล่าเอลวานได้กวาดล้างแหล่งพำนักของเหล่าอสุรกายลงจนสิ้นไปจากทวีปคูออน บางส่วนของหมู่บ้านของชาวทารุทารุที่ได้ออกไปตั้งถิ่นฐานนอกวินเดิร์สบนทวีคูออนก็ได้ถูกรื้อถอนและขับไล่ออกไปเช่นกัน ภายในเวลาไม่นานเกือบทั้งหมดของทวีปคูออนก็ตกอยู่ภายใต้การครอบครองของราชอาณาจักรซานโดเรีย ในช่วงนั้นเองที่ชาวซานโดเรียซึ่งนำโดยราชวงศ์ d'Oraguille ได้ค้นพบที่มั่นใหม่บริเวณแหลมทางตอนตะวันออกสุดของทวีปคูออน (ครอบคลุมบริเวณปัจจุบันของ บาทาลเลียดาวน์ส(Batallia Downs) โซโรมุกแชมเปญจ์(Souromugue Champaign) จูโน่(Jeuno) และพื้นที่แหว่งเว้าทางตอนเหนือของ บาทาลเลียและโซโรมุก ซึ่งเคยเป็นผืนดินก่อนจะเกิดมหาสงครามคริสตัล) ซึ่งบริเวณนี้เองซึ่งเป็นที่เหมาะสมที่จะใช้เป็นที่มั่นในการกวาดต้อนขับไล่เหล่าทารุทารุและเหล่าอสุรกายที่เหลืออยู่ (ในที่นี้คือยากุโด้) ออกไปให้หมดสิ้น จึงได้จัดสร้างเมืองป้อมปราการขนาดใหญ่ขึ้นและได้จัดขนานนามที่มั่นสำคัญแห่งใหม่นี้ว่า.. " Alphollon Tavnazia" และอาณาบริเวณโดยรอบก็ถูกเรียกขานกันว่า "Marquisate of Tavnazia" (หัวเมืองทาฟนาเซีย) ซึ่งนับเป็นเมืองหลวงแห่งที่สองของเหล่าเอลวาน หลังจากนั้นสมรภูมิเหนือที่ราบโซโรมุกก็อุบัติขึ้น...



และเช่นเดียวกับคำกล่าวที่ว่า... ความภาคภูมิย่อมเกิดขึ้นก่อนความตกต่ำ



กองทัพเอลวานขับไล่เหล่ายากุโด้รวมถึงเหล่าทารุทารุให้ถอยร่นกลับไปยังวินเดิร์ส กระนั้นเองก็ยังมีการปะทะจากกองกำลังของซานโดเรียเกิดขึ้นอยู่เสมอ ยังความไม่พอใจจนถึงขีดสุดแก่ทั้งฝ่ายทารุทารุและยากุโด้ ในที่สุดสนธิสัญญาสงบศึกระหว่างแกนนำคือ สตาร์ซีบิลและมหาสังฆราชยากุโด้ก็ได้เกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันและเปิดศึกโต้ตอบกับเหล่าเอลวาน



ในขณะที่ความสนใจของราชอาณาจักรซานโดเรียที่มุ่งไปยังเหล่าทารุทารุและยากุโด้ในทวีปใหญ่ทางตะวันออก (ทวีปมินดาเทีย) ทางตอนใต้ของทวีปคูออนเองก็ยังมีเมืองใหญ่ของเหล่ามนุษย์และกัลก้าที่หลบหนีมาจากทวีปคูซอทซ์ที่สร้างอารยธรรมอยู่ร่วมกัน มนุษย์เองนั้นด้วยความที่ร่างกายอ่อนแอกว่าเหล่าเอลวานและอ่อนด้อยด้วยพลังเวทย์มนต์จึงไม่อยู่ในสายตาของกองทัพเอลวาน แต่เมื่อได้แรงร่วมมือจากเหล่ากัลก้าที่เปี่ยมไปด้วยพลังกำลังผสานเข้ากับความรู้ด้านวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆของมนุษย์ก็ทำให้เกิดเป็นชุมชนที่ยิ่งใหญ่ภายใต้นามของสาธารณรัฐบาสต็อค ที่ถูกปกป้องอยู่ภายในหุบเขาอันอุดมไปด้วยแร่โลหะและสินแร่มีค่าต่างๆมากมายอันเป็นประโยชน์ยิ่งต่อความสามารถในการประดิษฐ์คิดค้นของเหล่ามนุษย์ และเมื่อถึงจุดหนึ่งของความเจริญทางอารยธรรม บาสต็อคก็เริ่มมองหนทางขยายอำนาจสู่ดินแดนทางเหนือ ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของราชอาณาจักรซานโดเรีย...



ก่อนที่กองทัพซานโดเรียจะได้จัดกำลังเข้ารุกรานอาณาจักรเกิดใหม่ทางตอนใต้นั้น การจู่โจมก็เกิดขึ้นย้อนกลับเสียก่อน บาสต็อคได้ใช้กองกำลังที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นทำลายกำลังทหารของซานโดเรียทางชายแดนใต้(บริเวณเนินเขาคอนชแต็ท(Konschtat Highland)) ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่กองกำลังร่วมของชาววินเดิร์สและยากุโด้จู่โจมกลับบริเวณชายแดนด้านตะวันออกของซานโดเรีย(บริเวณโซโรมุก) ในที่สุดกองกำลังของเหล่าทารุก็สามารถทะลวงปราการอันแน่นหนาของอัศวินแห่งซานโดเรียลงได้สำเร็จ และทำลายฐานที่มั่นของเหล่าเอลวานในโซโรมุกลงอย่างราบคาบ นักรบเอลวานมากมายสิ้นชีพลงในการศึกครั้งนี้ และยังคงเหลือร่องรอยของการต่อสู้ดังที่เห็นได้ตามทรากปรังหักพังที่กระจัดกระจายอยู่บนที่ราบโซโรมุกและฐานที่มั่นสุดท้ายของเอลวาน (Garlarge Citadel) (ศพของผู้เสียชีวิตในสงครามถูกนำไปฝังยังสุสานเอลดีม(Eldieme Necropolis) ยังผลให้ดวงวิญญาณของทหารเอลวานมากมายที่ยังไม่ไปสู่สุคติยังคงวนเวียนอยู่ที่นั่น) ในขณะเดียวกันสงครามบนเนินเขาคอนชแต็ทก็ยังคงยืดเยื้อ กองกำลังของบาสต็อคและซานโดนเรียเข้าปะทะอยู่เนิ่นนานจนในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ล่าถอยกลับไปโดยที่ยังตัดสินกันไม่ได้



เหล่าเอลวานที่ทำศึกฝั่งตะวันออกค่อยๆถูกกองทัพวินเดิร์สกดดันให้ถอยร่นกลับไปยังตะวันตกในขณะเดียวกับที่กองทัพซานโดเรียยังคงมีปัญหาการปะทะกับกองทัพบาสต็อคทางตอนใต้ จึงได้เปิดสัญญาสงบศึกกับชาววินเดิร์ส กระนั้นก็เพื่อหมายจะระดมพลเพื่อชัยชนะเหนือคอนแชต็ทอย่างเด็ดขาด ในขณะนั้นเองที่นักแปรธาตุชาวบาสต็อคได้ค้นพบดินปืน ประกอบกับความก้าวหน้าทางการช่างโลหะ ทำให้อาวุธปืนชิ้นแรกของโลกขึ้นถือกำเนิดขึ้น ในการปะทะกันครั้งที่สองของบาสต็อคและซานโดเรียนี้เองที่กองทัพบาสต็อคได้บรรจุกองพลปืนเข้าไปในกองทัพ และการรบครั้งนี้ก็ถูกบันทึกไว้ในนามของ "ศึกครั้งที่สองแห่งคอนชแต็ท" ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว...มันมิควรถูกเรียกได้ว่าสงครามเท่าใดนัก... เพราะแท้จริงแล้วมันเป็นเพียงการสังหารหมู่ที่เหล่านักรบแห่งซานโดเรียต้องสิ้นชีพลงอย่างไม่เป็นท่าด้วยอาวุธพิฆาตอันน่าฉงนของหมู่มนุษย์ที่สังหารพวกเขาได้จากระยะไกลภายในชั่วเสี้ยววินาที กองทัพเอลวานสูญเสียกำลังเกือบจะทั้งหมดภายในชั่วเวลาเพียงชั่วอึดใจภายหลังเปิดศึก และได้ถอยร่นกลับออกไปจากคอนชแต็ทแทบจะทันที ในขณะที่ฝ่ายมนุษย์เองก็ยังตื่นตระหนกในพลังอำนาจของอาวุธที่พวกตนได้ประดิษฐ์ขึ้น กองทัพบาสต็อคยังคงไม่ชะล่าใจ ปักหลักเฝ้าอยู่บนเนินของคอนชแต็ทเพื่อเฝ้าระวังการจู่โจมกลับ...แต่ก็ไม่มีวี่แววของกองทัพซานโดเรียหวนกลับมาอีกเลย...



กองทัพเอลวานไม่เหลือสิ่งที่จะทำได้เพื่อการโต้ตอบ... ได้แต่ก่นด่าอาวุธพิฆาตและชัยชนะอันสุดแสนจะไร้ศักดิ์ศรีของชาวบาสต็อค (ที่ใช้ปืน) และเนื่องจากกำลังพลที่สูญเสียไปมากจากการต่อสู้กับทั้งสองฝ่ายทำให้ราชอาณาจักรเกือบจะล่มสลายลง ในขณะนั้นเองบัลลังค์แห่งซานโดเรียถูกปกครองด้วยสองพี่น้องแห่งราชวงศ์ d'Oraguille โดย ราชา Raigegue ผู้พี่ เป็นขุนศึกผู้ได้เห็นทั้งเพื่อนร่วมรบและครอบครัวของเขาสิ้นลมหายใจไปต่อหน้าในสงครามกับบาสต็อค ได้รวบรวมกำลังพลทหารชั้นสูงที่ยังเหลืออยู่ตั้งขึ้นเป็นกองกำลังรอยัลไนท์ (Royal Knight - กองกำลังฝ่ายกษัตริย์) ด้วยหวังที่จะจู่โจมบาสต็อคกลับ แม้ความหวังในชัยชนะจะเลือนลางเต็มที ฝ่ายน้องชาย เจ้าชาย Fellenant ผู้เคร่งครัดในศาสนาและเป็นผู้ที่ฝักใฝ่ในสันติภาพ ได้รวบรวมกำลังผู้ติดตามที่จงรักภักดีและศรัทธาในตัวเขาขึ้นเป็นกองกำลังเทมเปิ้ลไนท์ (Temple Knight - กองกำลังฝ่ายศาสนา) เจ้าชาย Fellenant ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพี่ชายและตั้งใจจะจัดการประชุมสงบศึกขึ้นร่วมกับผู้นำแห่งบาสต็อค ซึ่งเจ้าชายก็ได้เสนอข้อแม้ที่จะให้กำลังของซานโดเรียสงบศึกโดยแลกกับการที่ทางบาสต็อคจะต้องช่วยเหลือเจ้าชายในการโค่นล้มบัลลังค์ของราชา Raigegue ผู้พี่เสียก่อน โดยได้ใช้คฑาแห่งกษัตริย์ (Scepter Royaulais) คฑาศักดิ์สิทธิ์อันเปี่ยมพลังเวทย์ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นกษัตริย์ที่ papsque จะมอบให้กษัตริย์ในพิธีเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นเครื่องประกัน ระหว่างนั้นเองที่ราชา Raigegue ได้ล่วงรู้แผนการลับๆของน้องชายจึงส่งให้ทหารฝีมือดีที่สุดของพระองค์ ผู้มีนามว่า Vijortal Caphieux ซึ่งมีความเกลียดชังบาสต็อคเป็นที่สุด ไปเข้าร่วมในคณะประชุมที่กำลังจะออกเดินทางไปยังบาสต็อค อันมีเจ้าชาย Fellenant ร่วมด้วย เพื่อที่จะให้ลอบปลงพระชนม์เจ้าชายในขณะเดินทาง



ในคืนแรกของการเดินทาง ขณะที่คณะเดินทางได้ค้างแรมบริเวณถ้ำออร์เดล(Ordelle's Cave) แผนลอบปลงพระชนม์เจ้าชายก็เริ่มขึ้น แต่ภายใต้ความน่าประหลาดใจนั่นเองที่ Vijortal กลับเกิดไม่เห็นด้วยกับเหล่านักฆ่าที่เดินทางไปพร้อมกันและได้เป็นผู้หยุดยั้งการลอบสังหารนั้น และได้เสียชีวิตลง ณ ถ้ำออร์เดลเนื่องจากบาดแผลฉกรรจ์ที่เกิดจากการต่อสู้กับเหล่านักฆ่านั้นเอง ในที่สุดเจ้าชายก็ได้เดินทางสู่บาสต็อคอย่างปลอดภัยร่วมกับเหล่าเทมเปิลไนท์ของพระองค์ และผู้นำของบาสต็อคก็เห็นด้วยที่จะโค่นล้มบัลลังค์ของราชา Raigegue ในที่สุดแล้วแผ่นการของเจ้าชายก็สำเร็จลง และเจ้าชายได้แต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งซานโดเรีย แต่แล้วก่อนที่ Raigegue จะทำการปฏิวัติโค่นราชสมบัติอีกครั้ง ว่ากันว่าเจ้าชายได้เห็นนิมิตบางอย่างจากคฑาแห่งกษัตริย์และได้สละราชบัลลังค์ลงเสียเองก่อน ซึ่งจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดที่ล่วงรู้ว่าเจ้าชาย Fellenant ได้เห็นสิ่งใด หลังจากเจ้าชายได้ยอมจำนนแก่ผู้พี่ เจ้าชายก็ได้ถูกจองจำอยู่ในคุกใต้ดินภายใต้ปราสาท แต่ด้วยความช่วยเหลือของบรรดาเทมเปิลไนท์ที่ยังภักดีต่อพระองค์ เจ้าชาย Fellenant ก็ได้ถูกช่วยเหลือให้หลบหนีออกมาได้ผ่านทางอุโมงค์ลับใต้ดินออกมายังป่าจักเนอร์ ซึ่งในเวลาต่อมาได้เป็นฐานที่มั่นของเจ้าชายที่ใช้เพื่อก่อสงครามตอบโต้กับพี่ชาย และเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองแห่งซานโดเรีย



สงครามระหว่างสองฟากฝั่งแห่งซานโดเรียได้เกิดขึ้นต่อเนื่องมาหลายชั่วคน จนในที่สุดแม้ว่ารัชทายาททั้งสองได้สิ้นพระชนม์ไปแล้วแต่สงครามก็ยังคงยืดเยื้อต่อไปในนามของสงครามระหว่างรอยัลไนท์และเทมเปิ้ลไนท์ แต่ท้ายที่สุด Ranperre ผู้นำ
Final Fantasy Xi Final Fantasy Xiv Games Game Online Final Fantasy

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา