Mecha Story: ใกล้สิ้นปี เก็บตกจากสองตอนที่แล้ว

อา...มันแป๊กตามคาด แต่ช่างเถอะ





B303 เดวิลฟิช

เทอร์มินัสซีรีส์ที่ถูกผนึกไว้ซึ่งฮอลแลนด์ นอวาคเอามาใช้หลังจากที่เทอร์มินัสR909ที่เป็นเครื่องประจำตัวก่อนหน้าถูกนีรวาชไทป์ธิเอนด์ทำลายไปแล้ว เทอร์มินัสซีรีส์นั้นนับว่าเป็นLFOที่บังคับได้ยากอยู่แล้ว แต่ เดวิลฟิชนั้นมีสมรรถนะที่สูงมากจนนักบินต้องมีปฏิกิริยาสูงผิดมนุษย์ CFSของเดวิลฟิชนั้นไม่มีลิมิเตอร์และนักบินจะต้องใช้ยากระตุ้นการตื่นตัวของระบบประสาทซึ่งทำให้ร่างกายทรุดโทรมในระยะยาว ในสมัยที่ฮอลแลนด์ยังอยู่หน่วยปฏิบัติการพิเศษจึงไม่เคยเข้าประจำการ แบ็คแพ็คของเดวิลฟิชติดอาวุธเป็นเลเซอร์แคนน่อนสองกระบอกกับโฮมมิงเลเซอร์แปดกระบอก ที่แขนมีใบมีดสำหรับใช้ต่อสู้ในระยะประชิดตัว ริฟบอร์ดที่ใช้นั้นขณะไม่ใช้งานจะแยกเป็นสองส่วนติดไว้ที่เอว เมื่อประกอบเข้าด้วยกันจะมีขนาดใหญ่กว่าปกติและยังติดตั้งท่อขับดันไว้ทำให้ใช้งานในอวกาศได้ เดวิลฟิชยังต่างจากเทอร์มินัสเครื่องอื่นๆคือไม่มีร่างพาหนะ



ในภาคภาพยนต์นั้นเดวิลฟิชยังมีความสามารถพิเศษที่สามารถมองเห็นวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอื่นได้และจะส่งข้อมูลภาพเข้าสู่สมองของฮอลแลนด์โดยตรง และยังสามารถประกอบกับยูนิต"ซูเปอร์แพ็ค"ขนาดใหญ่ได้ ซึ่งมีอาวุธเป็นเลเซอร์แคนน่อนพิสัยไกลขนาดใหญ่สองกระบอกกับมิสไซล์42ลำกล้อง บูสเตอร์ของซูเปอร์แพ็คยังมีกำลังมากทำให้เร็วมากผิดกับรูปร่าง





นีรวาช ไทป์ธิเอนด์

KLFประจำตัวของอเนโมเน มนุษย์ดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อสร้างเลียนแบบโคราเลียนแบบมนุษย์ ธิเอนด์นั้นใช้อาคิไทป์ที่คล้ายกับของนีรวาชไทป์ซีโร แต่ได้รับการออกแบบให้เป็นอาวุธอย่างเต็มรูปแบบและเรียกได้ว่าเป็นผลรวมของเทคโนโลยีLFOทั้งหมดของสหพันธ์ รูปแบบของธอเอนด์นั้นดัดแปลงมาจากเดวิลฟิช แต่นอกจากดาบติดแขนกับโฮมมิงเลเซอร์แล้วยังมีเล็บติดสายเคเบิลที่แขนทั้งสองข้าง ซึ่งเมื่อยิงออกไปแล้ว อเนโมเนจะสามารถบังคับทิศทางจากระยะห่างได้ ที่ลำตัวของธิเอนด์ยังมี"วัสคิดไครซิส"ปืนเลเซอร์ซึ่งนอกจากจะสร้างความเสียหายทางกายภาพแล้วยังแผ่คลื่นทราพาร์ซึ่งทำให้สมองเสียหายได้ ไม้ตายของธิเอนด์ก็คือวาฮัลลัคสเวล ซึ่งใช้มอนซูโนรุ่นVC10ของหน่วยอาเกฮะเป็นเหมือนอุปกรณ์ขยายคลื่นทราพาร์จากตัวธิเอนด์ออกไปเป็นวงกว้าง ธิเอนด์ยังมีสมรรถนะสูงมากผิดกับมอนซูโน ริฟบอร์ดนั้นจะเป็นแบบแยกสองเท้าเหมือนสกี





LF-008 รีกัลเดรส

หลังจากที่พัฒนาเบฮีมอธออกมาแล้ว ไลคัมมิงดีเฟนส์ซิสเต็มก็ยุติการพัฒนาVTรุ่นที่สองทั้งหมดเพื่อทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดให้กับการพัฒนาVTรุ่นที่สาม โดยไลคัมมิงนั้นได้พัฒนาOSรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิมทำให้สมรรถนะของVTรุ่นที่สามสูงขึ้นมาก ระบบ override มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ค็อกพิตของVTรุ่นที่สามนั้นเป็นได้รับการปรับปรุงให้บังคับได้ดีขึ้นและมอนิเตอร์จะเป็นจอเล็กเก้าจอประกอบกันทำให้มีมุมมองที่กว้างกว่าVTสองรุ่นแรกมาก บริษัทไลคัมมิงได้เริ่มผลิตVTรุ่นที่สามออกมาเป็นรุ่น LF-008 รีกัลเดรส โดยได้แยกเป็นสองรุ่นย่อยคือ รีกัลเดรสNสำหรับต่อสู้ทั่วไป กับรีกัลเดรสA สำหรับใช้ยิงสนับสนุนระยะไกล เนื่องจากมีปัญหาด้านระบบจ่ายพลังงาน รีกัลเดรสจึงไม่สามารถใช้เรลกันได้ ไลคัมมิงนั้นได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยซื้อสิทธิการผลิตสไนเปอร์ไรเฟิลของสคาร์เฟซทูว์มาจากบริษัทกูดแมนแล้วติดตั้งให้รีกัลเดรสN แต่แม้จะมีสมรรถนะสูงขึ้นมาก เกราะของรีกัลเดรสก็ยังมีพลังป้องกันอยู่ในระดับเดียวกับVTรุ่นรุ่นที่สองขนาดกลางอยู่ ซึ่งในกรณีของรีกัลเดรสAนั้น เนื่องจากVTแบบยิงสนับสนุนระยะไกลไม่จำเป็นต้องมีความเร็วสูงนักอยู่แล้ว ทำให้ด้อยกว่าเบฮีมอธที่มีเกราะหนาและบรรทุกอาวุธได้มากกว่าไปด้วย โดยปกติแล้วจะใช้รีกัลเดรสAแทนเบฮีมอธก็ต่อเมื่อจำเป็นต้องใช้งานสนับสนุนหน่วยจู่โจมด้วยความเร็ว เนื่องจากมีราคาแพง กองกำลังไหฉีเถาจึงให้นักบินมีฝีมือและผู้บังคับบัญชาใช้รีกัลเดรสเท่านั้น และส่วนใหญ่แล้วก็เก็บไว้ใช้ป้องกันเมือง



LH-009-B จักเกอร์น็อต

แต่จริงๆแล้วไลคัมมิงผลิตรีกัลเดรสออกมาเพื่อหวังเก็บข้อมูลการใช้งานเพื่อใช้พัฒนาVTรุ่นที่สามอีกรุ่น จักเกอร์น็อต ซึ่งมีพลังที่เหนือกว่ารีกัลเดรสในทุกด้าน เรลกันที่ใช้นั้นมีอานุภาพมากกว่าของโปรมิเนนซ์ แต่แม้จะเป็นโครงการลับสุดยอดของไลคัมมิงกับไหฉีเถาก็ยังมีสายลับแฝงตัวเข้ามารายงานข่าวให้แปซิฟิกริมได้ เมื่อไลคัมมิงสามารถสร้างจักเกอร์น็อตรุ่นต้นแบบที่ใช้งานได้แล้ว ทางแปซิฟิกริมซึ่งได้เห็นข้อมูลการทดสอบของจักเกอร์น็อตก็รู้ตัวว่าถ้าไหฉีเถาผลิตจักเกอร์น็อตออกมาได้ล่ะก็จะเป็นผู้ชนะสงครามคราวนี้แน่นอน จึงส่งหน่วยพิเศษพร้อมกับกองกำลังจาราแลคส์ที่จ้างมาให้ออกปฏิบัติการลับเข้าโจมตีฐานที่พัฒนาจักเกอร์น็อต หน่วยพิเศษของแปซิฟิกริมทำการบันทึกข้อมูลทั้งหมดก่อนทำลายเครื่องต้นแบบพร้อมกับข้อมูลทั้งหมดไม่ให้ไหฉีเถาเอาไปใช้ได้ และยังฆ่าทีมพัฒนาทิ้งด้วย แปซิฟิกริมนั้นได้ใช้แก้ดีไซน์ของจักเกอร์น็อตรุ่นต้นแบบให้สามารถใช้พลาสมาทอชได้แล้วผลิตออกมาเอง เรียกว่า LH-007-Y-B เควซาร์

ฝ่ายไลคัมมิงกับไหฉีเถานั้นแม้จะต้องสูญเสียข้อมูลการพัฒนาจักเกอร์น็อตไปหมด แต่ก็เร่งพัฒนาใหม่อีกรอบโดยไหฉีเถานั้นให้งบประมาณกับไลคัมมิงแบบไม่จำกัดและไลคัมมิงเองก็เพิ่มจำนวนทีมพัฒนามากขึ้นกว่าเดิม จักเกอร์น็อตที่สมบูรณ์นั้นแม้จะไม่มีอาวุธประชิดตัวแต่ก็สามารถบรรทุกอาวุธได้มากกว่าเควซาร์มาก สามารถใช้เรลกันได้พร้อมกันสองกระบอก นอกจากนั้น ดีไซน์ของรุ่นต้นแบบที่ใช้สร้างเป็นเควซาร์นั้นยังไม่ได้รับการออกแบบเกราะและตั้งศูนย์ถ่วงให้สมบูรณ์ ทำให้จักเกอร์น็อตมีเกราะที่หนากว่าและสมดุลย์ดีกว่าด้วยเช่นกัน





JW-201 จาราแลคส์

VTที่บริษัทWMผลิตให้กลุ่มทหารรับจ้างจาราแลคส์ เดิมทีนั้นWMก็ออกแบบไว้เป็นVTที่ผสมรูปแบบของVTยิงสนับสนุนระยะไกลและVTมาตรฐานเข้าด้วยกันให้กองกำลังแปซิฟิกริม แต่หลังจากที่แปซิฟิกริมได้ทำสัญญากับบริษัทโคมัตสุให้พัฒนาดีไซเดอร์วอลแคนิค บริษัทWMจึงระงับการพัฒนาไว้ จนกระทั่งเทคโนโลยีVTก้าวหน้ามาถึงรุ่นที่สองจึงได้นำกลับมาพัฒนาอีกโดยในช่วงนี้บริษัทWMยังได้ทำการแลกเปลี่ยนวิทยาการกับบริษัทออคแทเดอร์ทำให้ระบบกลไกไฮโดรลิคของบริษัทWMมีประสิทธิภาพขึ้นมาก เนื่องจากบริษัทWMต้องการให้VTของตนมีลักษณะโดดเด่นอยู่แล้วจึงได้ออกแบบVTรุ่นใหม่นี้เป็นVTแบบหนัก ปรากฏว่าVTรุ่นนี้ได้รับความสนใจจากกลุ่มทหารรับจ้างจาราแลคส์ซึ่งได้เข้าร่วมในสงครามเกาะไหฉีเถาและกำลังต้องการVTของตนเองซึ่งมีทั้งพลังในการต่อสู้และสามารถใช้งานได้หลากหลาย จึงได้ตกลงให้บริษัทWMผลิตให้

บริษัทWMนั้นได้เริ่มผลิตจาราแลคส์ออกมาสองรุ่น คือ จาราแลคส์Cซึ่งเน้นการต่อสู้ระยะประชิด กับ จาราแลคส์Nซึ่งสามารถใช้เป็นยูนิตยิงสนับสนุนได้ จาราแลคส์นั้นแม้จะเป็นVTรุ่นหนักแต่สมรรถนะของเครื่องกลับอยู่ในระดับดีพอสมควร จาราแลคส์Cนั้นมีอาวุธพิเศษคือสว่าน "คัตเตอร์บูม" สว่านนี้เป็นแบบติดตั้งตายตัวเนื่องจากขณะใช้งานจะมีแรงดันมาก แต่ก็เป็นอาวุธระยะประชิดตัวที่รุนแรงที่สุด จาราแลคส์Cยังมีอาวุธยิงระยะประชิดอย่างปืนไฟหรือนาปาล์มลันเชอร์ รวมทั้งสามารถวางทุ่นระเบิดได้ด้วย ส่วนจาราแลคส์Nนั้นสมารถติดตั้งปืนฮาววิตเซอร์และอาวุธปืนระยะกลางและสั้นได้มากมาย ทำให้สามารถปฏิบัติการได้หลายรูปแบบ จาราแลคส์ทั้งสองรุ่นยังสามารถใช้มาร์คเกอร์ลันเชอร์ระบุเป้าให้หน่วยสนับสนุนได้



บริษัทWMยังได้พัฒนาจาราแลคส์NSซึ่งเป็นเครื่องจ่าฝูง ซึ่งต่อมาก็ได้รับการปรับปรุงเป็น JW-202-NS-R1 จาราแลคส์NS-R ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นจาราแลคส์Cที่ปรับปรุงให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งในกลุ่มจาราแลคส์เองก็ให้นักบินมีฝีมือที่ใช้จาราแลคส์Cได้อย่างคล่องแคล่วแล้วเท่านั้น เดิมทีนั้นบริษัทWMต้องการจะให้จาราแลคส์NS-Rใช้เรลกันได้ด้วย แต่มีปัญหาที่การติดตั้งทั้งคัตเตอร์บูมและเรลกันนั้นจะทำให้สมดุลย์เครื่องแย่มาก โครงสร้างของจาราแลคส์NS-Rยังได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงการติดคัตเตอร์บูมไว้แต่แรก ถ้าเปลี่ยนให้ถอดคัตเตอร์บูมออกได้ก็จะทำให้โครงสร้างทั้งหมดอ่อนแอลงไปทันที บริษัทWMได้พัฒนาจาราแลคส์รุ่นใหม่ออกมาสำหรับให้ใช้งานเรลกันได้ โดยความตั้งใจตอนแรกนั้นก็คือออกแบบโครงสร้างของจาราแลคส์NS-Rเสียใหม่โดยมีเรลกันแทนคัตเตอร์บูมเท่านั้น แต่ฝ่ายการตลาดของWMนั้นชี้ว่ากลุ่มจาราแลคส์จะไม่ยอมซื้อVTที่แพงขนาดนี้ถ้าไม่มีอาวุธระยะประชิดตัวเลย



ทีมวิศวกรของWMได้พยายามออกแบบจาราแลคส์ให้ใช้งานอาวุธทั้งสองได้พร้อมกันอยู่นาน จนกระทั่งผู้บริหารของWMตัดสินใจขอความร่วมมือจากบริษัทออคแทเดอร์อีกทีเพื่อยืมตัววิศวกรมาช่วยออกแบบ ฝ่ายออคแทเดอร์นั้นก็กำลังต้องการข้อมูลของVTแบบหนักมาพัฒนาของตนเองจึงตกลง ทำให้ออกมาเป็น JW-209-MAC จาราแลคส์มาคาเบิร ซึ่งนับได้ว่าเป็นVTรุ่นที่สองที่แข็งแกร่งที่สุดและใช้เทคโนโลยีบางส่วนจากVTรุ่นที่สามเข้ามาผสมด้วย โดยเรลกันนั้นเป็นเรลกันที่สร้างเลียนแบบจากเรลกันของจักเกอร์น็อตที่ทหารจาราแลคส์แอบบันทึกข้อมูลไว้เอง และได้ปรับแต่งจนใช้งานด้วยOSของVTรุ่นที่สองได้ ส่วนในระยะประชิดนั้นวิศวกรของออคแทเดอร์ได้ดัดแปลงชิลด์ไบร์เดอร์ของซีกซุกมาใช้แทน โดยขณะไม่ใช้งานนั้นจะกางออกแบบปีก โล่นี้ทำให้พลังป้องกันของจาราแลคส์มาคาเบิรสูงขึ้นไปอีก และด้วยขนาดที่ใหญ่โตอยู่แล้วจึงดูน่าเกรงขามมาก
Super Robot Wars Games Mecha Story

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา