Review : The Raid Redemption

อ่านก่อนนิดนึง



บทความนี้ คือบทความReview หนังในมุมมองของผมแค่คนเดียว ไม่ใช่มุมมองของคนส่วนมาก ฉะนั้นไม่แปลกถ้าท่านจะรู้สึก เอ๊ะทำไมนายไม่ชอบตรงนี้ เอ๊ะทำไมนายมาด่าเรื่องนี้ เอ๊ะนายบอกเรื่องนี้ดี นายเพี้ยนรึเปล่า อยากจะบอกว่า ผมเป็นแค่คนดูหนังคนนึง มิอาจสามารถเอาใจของคนทั่วโลกมารวมในคนเดียว แล้วประมวลคะแนนให้พอใจทุกคนได้ เพราะคนเราย่อมมีรสนิยมการดูหนังไม่เหมือนกันทุกคนครับ ฉะนั้น ถ้าอ่านReview ของผมแล้ว จงอย่าตัดสินทันที ขอให้พิสูจน์หนังเรื่องนั้นด้วยตัวท่านเอง ไม่แน่ หนังที่ผมบอกห่วย อาจเป็นหนังในใจท่านก็ได้ครับผม ด้วยความเคารพครับ



และขอความกรุณาอย่าSpoil หนังนะครับผม จะSpoil ก็ขอให้ใช้การซ่อนข้อความ



การติชมต่อผลงานของSoma สามารถเขียนได้ในกระทู้อย่างเปิดเผยและตรงๆอย่างไม่ต้องกังวล เข้ามาอ่านReview เล็กๆก่อนตัวเต็ม หรือถ้าใครที่เข้ามาอ่านธรรมดาแต่อยากติชม สามารถเข้าไปติได้ที่Facebook ของกระผมนะครับ



http://www.facebook.com/profile.php?id=100000512771067



The Raid Redemption








แนวหนัง : แอ็คชั่น



ตัวอย่าง








เรื่องย่อ



ทีมตำรวจทีมนึงได้บุกเข้าไปในตึกเก่าที่เป็นที่อาศัยของเจ้าพ่อมาเฟียที่โหดเหี้ยมหมายจะจับเค้าให้ได้ แต่แล้วสิ่งที่ตำรวจทีมนี้เผชิญกลับเป็นฝันร้ายที่พวกเค้าต้องเอาชีวิตรอดกลับออกมาให้ได้







มุมมองของ Soma



เหตุใดทำไมผมถึงสนใจหนังแอ็คชั่นสัญชาติอินโดนิเซียเรื่องนี้ เพราะว่าผมเห็นคำชมจากสำนักต่างประเทศมากมายที่ล้วนยกย่องให้กับความสนุกของมัน แถมล่าสุดก็มีข่าวว่าทางฮอลลีวู้ดซื้อลิขสิทธิ์ไปรีเมคเรียบร้อยแล้ว ผมก็เกิดประหลาดใจและสนใจหนังเรื่องนี้ทันที เหตุใดทำไมมันถึงมีกระแสได้ขนาดนี้ จนเมื่อผมได้ดูความสงสัยก็หายไปทันที







สิ่งที่ The Raid ให้อย่างเต็มที่คือ คสามสนุกในฉากแอ็คชั่น หนังไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์ประดอยให้มากความ ยิงคือยิง ต่อยคือต่อย และด้วยหนังมีโทนเรื่องที่ค่อนข้างดิบพอสมควรจึงทำให้ฉากแอ็คชั่นแต่ละฉากจัดเต็มทั้งความมันส์และความดิบ ทั้งฉากที่ระเบียง ฉากที่ต้องเจอแก๊งค์มีด หรือฉากที่ปะทะกันในห้องยา ล้วนยกนิ้วให้แทบทั้งหมด การเอาหัวกระแทกกำแพง มีดจ้วงอย่างบ้าคลั่ง หักแขนหักกระดูก เลือดกระฉูด แลดูจะเป็นเรื่องที่พบเจอบ่อยในหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะความสามารถของคนที่เล่นไปพระเอกของเรื่องที่น่าจับตามองเอามากๆ ทั้งตบหักจับทุบพลิ้วไหวไม่แตกต่างอะไรกับจา พนม บ้านเราแม้แต่นิดเดียว เลยทำให้เราชวนเชียร์พระเอกคนนี้ให้ไปต่อยกับตัวร้ายบ่อยๆ



และสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดูสนุกมากขึ้นคือการเพิ่มความกดดันในสถานะการณ์และความตื่นเต้นเข้าไป หนังจะไม่ได้ให้พระเอกเก่งเทพแบบที่หนังแอ็คชั่นหลายๆเรื่องพยายามทำ พระเอกและหน่วยของเค้าเป็นแค่คนที่ถูกฝึกมาในระดับนึงในทางกลับกันฝั่งตัวร้ายก็ไม่ใช่ตัวร้ายกระจอกๆ ทำให้ฉากแอ็คชั่นดูลุ้นเอามากๆในหลายฉากและดูเหมือนตัวเอกพยายามเอาชีวิตรอดมากกว่าการมาโชว์ฝีมือวิชาตนเอง โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่ลุ้นแทบจะหยุดหายใจ ไม่ได้เห็นหนังที่พระเอกต้องมาบู๊กับบอสสุดท้ายได้ถึงพริกถึงขิงแบบนี้มานานมากจนแทบจะจำไม่ได้แล้ว







แต่สำหรับใครที่ต้องการหนังแอ็คชั่นหักเหลี่ยมเฉือนคมบทเทพๆมีนัยยะแอบแฝงชวนคิดอะไรพวกนี้คงต้องบอกว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะกับท่านแน่นอนครับ บทของหนังเรื่องนี้ค่อนข้างอ่อนพอสมควร ทั้งความเป็นมาเป็นไป เหตุผลต่างๆ ล้วนไม่มีการเฉลยแบบกระจ่างในหนัง อีกทั้งความไม่สมเหตุสมผลในบางเหตุการณ์อาจจะขัดใจคนที่ชอบหนังบทแน่นๆดีๆก็ได้ รวมถึงบางฉากที่ก็แอบขำถึงโลเคชั่นและความเข้ากันกับสถานะการณ์ที่แทบเรียกได้ว่าแตกต่างกันสิ้นเชิง (ยิงคนในรถ ขณะที่รถคันอื่นวิ่งตามปกติอยู่ฉากหลังโดยไม่เอะใจอะไรเลย เป็นต้น)แต่ดีที่หนังยังสามารถสร้างเอกลักษณ์ตัวละครเด่นๆให้เราจดจำได้อย่างดี ทำให้รู้สึกร่วมไปกับหลายๆฉากในหนังได้ และในเมื่อหนังสามารถพาเราสนุกไปกับฉากแอ็คชั่นแบบเต็มที่แล้ว สิ่งที่ผมว่ามานี้ก็ทำให้ท่านมองข้ามได้อย่างไม่คิดถึงมันอีกเลย



แต่ผมชอบมุมกล้องฉากแอ็คชั่นในหนังครับ เพราะแต่ละครั้งหนังจะถ่ายฉากแอ็คชั่นได้ชัดเจน โดยค่อยๆไปทีละฉากให้เราเห็นถึงความสนุกความมันส์ซึมซับอย่างเต็มที่



แต่เมื่อผมได้ดูหนังเรื่องนี้จบ ผมกลับคิดถึงและเป็นห่วงกับอนาคตหนังแอ็คชั่นไทยทันที เพราะดูเหมือนในยุคหลังของหนังแอ็คชั่นไทยกำลังลืมหัวใจหลักจริงๆของหนังแอ็คชั่นไปแล้วมันคือเรื่องของ ความสนุกจากฉากแอ็คชั่น ไม่ใช่ความครีเอทจากฉากแอ็คชั่น The Raid เป็นตัวตอกย้ำชัดเจนจากประเทศที่ No Name เรื่องวงการหนังมานานว่าฉากแอ็คชั่นไม่จำเป็นต้องครีเอท ไม่จำเป็นต้อง 1 เดียวในโลก หากแต่ใช้ความเบสิคของมันถ่ายทอดออกมาให้มันสนุกจนผู้ชมติดตามเองมากกว่า เช่นที่ไทยเคยทำได้มาแล้วกับองค์บากภาคแรก แต่ในยุคหลังกลับกลายเป็นว่าพยายามจะครีเอทฉากแอ็คชั่นให้มันดูแปลกใหม่แต่ขาดความสนุก ต้องการจะให้ใส่ความเป็นไทยลงไปมากๆส่งผลให้เกิดความเบื่อหน่าย ทั้งที่ The Raid แทบจะไม่ต้องมีอะไรที่แสดงถึงความเป็นประเทศอินโดนิเซียนอกจากภาษา แต่เค้าสามารถผลิตหนังออกมาได้ขนาดนี้ ผมห่วงจริงๆว่าถ้าหนังแอ็คชั่นไทยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี หันไปจับหัวใจสำคัญจริงๆของหนังแอ็คชั่น หนังกลุ่มนี้อาจจะจากเราไปเร็วกว่าที่คิด







สรุป : ไม่ใช่คำกล่าวอ้างเกินจริงเลยสำหรับสำนักวิจารณ์ต่างประเทศที่ต่างยกย่องความสนุกของ The Raid หนังที่อุดมไปด้วยฉากแอ็คชั่นที่ทั้งมันส์ ทั้งดิบ ผสมกับความตื่นเต้นระทึกขวัญเข้าไปได้อย่างลงตัว หนังมีกลิ่นอายของหนังแอ็คชั่นแนว Martial Art ผสมผสานไปกับ Die Hard ได้ดี แม้ด้านบทจะยังเป็นจุดอ่อนใหญ่ของหนัง แต่ในเมื่อความสนุกที่ประเคนมาให้ขนาดนี้ ข้อเสียเรื่องบทจะหายไปจากหัวและจดจ้องกับฉากแอ็คชั่นที่ประเคนอย่างบ้าคลั่งแทน คอหนังแอ็คชั่นห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง



จุดที่ชอบ

+ฉากแอ็คชั่นสุดมันส์ สนุก

+ความตื่นเต้นระทึกขวัญที่ชวนลุ้นในหลายๆฉาก

+พระเอกหนังฝีมือดี น่าจับตามองและลุ้นเชียร์

+ความดิบของหนังที่จัดเต็มเพิ่มดีกรีความสนุก



จุดที่ไม่ชอบ

-บทค่อนข้างอ่อน ขาดเหตุผลและไม่กระจ่างในหลายๆจุด



เกรด : A



หนังเริ่มฉายวันที่ 16 สิงหาในเครือ APEX (ลิโด้ สกาล่า) และวันที่ 28 สิงหาที่ SF World ครับผม ส่วนอีกเส้นทางของดบอกนะครับ บอกแค่ว่าปล่อยกันมาราว2-3 เดือนแล้ว




แล้วเจอกันใหม่ครับ ลาล่ะ555
Miscellaneous

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา