เรื่องสั้นยัดเยียดส่ง
เนื่องจากว่าเป้นงานการเขียนซึ่งอาจารย์บังวคับใหเแต่งเรื่องสั้น2-3เรื่อง เรื่องแรกนั้นผมแต่งลงในกระดาด ปัจจุบันลืมเค้าสโครงไปหมดแล้ว แต่งานนี้เป็นงานที่เริ่มลงคอมเพราะว่าอาจารย์เขาอ่านลายมือไม่ออกแล้วก็เลยต้องจำใจพิมพ์ส่ง ใช้เวลาหน้าละ1ชั่วโมงและเริ่มค่อย ๆขยับเ็ป็้นสองหน้า1ชั่วโมง(ปัจจุบันทำเรื่องยาว9ตอนจบอยู่ใช้เวลา3หน้าต่อ1ชั่วโมงู่)ซึ่งเป็้นงานยัดเยียดแต่เพราะไฟลนก้นทั้งสองงาน เพราะอาจารย์เร่งทั้งสองงาน
เรื่องแรก
มือปลอม
“กรี๊ด!” เสียงกรีดร้องดังเมื่อผมได้ยื่นมือขาดเปื้อนเลือดมาให้เพื่อนผู้หญิงดู และเหมือนทุกคนที่ผมยื่นมีไปให้ ทุกคนต่างกรีดร้องอย่างไม่เป็นภาษาบ้าง อุทานอย่างตกใจบ้าง นิ่งค้างบ้าง ทุกคนต่างตกใจกับมือที่ผมยื่นมือขาดเปื้อนเลือดให้ดูทุกครั้ง ผมยังงงอยู่เลยว่าเขาจะกลัวกันทำไมกันกับมือแค่ข้างเดียว
ทั้ง ๆ ที่เป็นมือปลอม
ใช่แล้ว ผมมีมือปลอมติดกระเป๋าอยู่ เป็นมือยางข้างซ้ายที่มีการทาสีที่ดูเหมือนเป็นเลือดที่ไหลออกมาจากแผลและยังนิ่มมากจนทำให้คนคิดว่าเป็นมือจริง ยิ่งเอามาวางไว้ที่ไหล่ยิ่งน่าขำเพราะยิ่งทำให้คนกรี๊ดสนั่น บางคนถึงกับกระโดดอกจากเปลยวนบ้างก็มี บางคนยิ่งขำใหญ่เพราะว่าเมื่อผมเอามาให้ดูก็ตกใจแล้ว ยิ่งตอนทำหลุดจากมือยิ่งน่าขำอีกทั้ง ๆ ที่กรี๊ดแล้วรอบหนึ่งยังอุส่ากรี๊ดรอบสองอีก
มันจะกลัวอะไรนักหนากะอิแค่มือปลอม
ไม่ใช่ว่าเป็นครั้งแรกที่ผมซื้อของปลอมเอามาหลอกเล่น ครั้งแรกที่เอามาหลอกนั้นก็เมื่อ4ปีก่อน ตอนนั้นผมซื้องูปลอมเอาไปหลอกคนเล่น ผมหลอกเล่นทุกรายที่เจอ โดยเฉพาะผู้หญิงกับกระเทยจะเน้นเป็นพิเศษ
ไม่เว้นแม้แต่ครูปกครอง
หลังจากนั้นมันถือได้ว่ามันเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผมที่แปลกเพราะผมเป็นคนเพี้ยนจัดเกินจนถูกจัดอันดับเป็นจอมเพี้ยนNO.1ของห้องไปโดยปริยาย
ที่ผมมีมือนั้นมาได้เพราะตอนที่ผมไปกรุงเทพ พอเพื่อน ๆ รู้ข่าวว่าผมนั้นจะไปกรุงเทพนั้นต่างขอของฝากกันใหญ่ แต่ผมไม่ค่อยมีเงินเพราะขนาดของที่ผมซื้อกลับมาก็แทบจะเจียดเงินซื้อเอาจนกระเป๋าแฟบ แล้วผมก็เหลือบไปเห็นว่ามีมือปลอมวางอยู่ที่พื้น และดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจที่จะเก็บเลยแม้แต่น้อย
อยากขอของฝากดีนักพวกแก เดี๋ยวเอาไปฝากซะให้เข็ดเลย
เมื่อผมกลับไปที่เชียงใหม่ ผมก็นำไปแกล้งเหล่าที่ชอบขอของฝากเลยอย่างแรกโดยให้แบมือออกแล้ววางบนฝ่ามือแล้วพูดว่า “เอ้า! ของฝาก”ทุกคนต่างกรี๊ดกันไปยกใหญ่ แล้วผมก็เริ่มเล่นแปลก ๆ บ้างอย่างเอาไปใส่ไว้ในกระเป๋าถือบ้าง โยนใส่บ้างแล้วแต่อารมณ์
แม้แต่อาจารย์ก็ไม่เว้น
แต่เมื่อมีการแกล้งเล่น ๆ มากขึ้น ครูหรือคนอื่นนั้นเริ่มเตือนผมเกี่ยวกับเรื่องการเอามือมาเล่น บางคนเตือนว่าเอาของที่เกี่ยวกับคนตายมาเล่นเป็นการลบหลู่คนตาย
มันเรื่องของผมนี่หน่า
แต่เมื่อผมหลอกคนมาก ๆ จนแทบจะทำให้ทุกคนรู้ว่าผมจะแกล้งคนโดยการนำมือปลอมมาเล่น และผมเล่นจนรุ่นน้องคาบข่าวไปบอกอาจารย์เลยทำให้กระจายข่าวจนรู้ทุนทั้งคระแล้ว
แต่ช่างเถอะ ใช้หลอกคนกว่าร้อยคนจมสมใจแล้ว
ซึ่งผลต่อมากลับกลายเป็นว่ามันเป็นคำสาบไปแล้ว
ผมเคยหลอกกับน้องสาวแต่ทว่าน้องผมไม่กลัวแถมขอยืมไปหลอกกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน แต่วันต่อมา เมื่อผมทวงของจากน้องสาว แต่น้องผมกลับบอกว่า “ทำหายไปแล้ว”ทำให้ผมนั้นโกรธพอสมควร แต่เพราะเริ่มเบื่อแล้วเลยปล่อยไป
แต่วันต่อมา เมื่อผมไปที่มหาวิทยาลัย ระหว่างที่ผมเดินไปที่คณะผมเห็นมือปลอมตกอยู่ที่พื้น เป็นมือปลอมอันเดียวกันกับที่ผมเป็นเจ้าของเก็บตก ผมเลยรีบเก็บเอาไว้
โดยที่ไม่คิดว่าว่ามันแปลกมากที่มันกลับมาได้ไง
ผมนำมาหลอกหลอนอีกโดยการโยนใส่ไปที่เพื่อน ๆ อย่างสนุกสนาน แต่เพื่อนผมคนหนึ่งกลับหยิบมือผมโยนขึ้นไปที่หลังคารถสองแถวจนหายไปกับสายแถวเลย
แต่2วันต่อมากลับมาอยู่ที่ที่ผมเจอมันอีกครั้ง
ผมเริ่มงง ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกัน อยู่ ๆ มือที่หายไปกลับมาอยู่ที่ผมอีกครั้ง หรือว่ามันเป็นมืออันใหม่กัน ผมจึงทำสัญลักษณ์รูปหัวใจที่นิ้วนางและโยนไปที่รถไฟฟ้าโดยเป็นการทดลองว่ามันจะกลับมาหรือเปล่า
แต่ทว่า อีก 3 วันให้หลังมันก็ตกอยู่ที่หน้าหอที่ผมอยู่ มีคนเก็บมาให้เพราะจำได้ว่าเป็นมือปลอมของผม และมันมีรูปหัวใจที่นิ้วอยู่เหมือนเดิม
มันจะบ้าตายอยู่แล้ว
ผม เริ่มกลัวมือปลอมของผมมากขึ้นมาแล้ว ผมคิดว่าหากทิ้งไปที่ถนน มันจะกลับมาที่ถนนเดิมอีกผมจึงทิ้งไปที่สระประจำมหาวิทยาลัย
หวังว่าคงพ้นทุกข์สักที
แต่ทว่า1สัปดาห์ให้หลัง ผมคิดว่าคงพ้น ๆ ไปแล้ว ผมวางกระเป๋าของผมแล้วไปเข้าห้องน้ำก่อนที่จะเรียนในห้องเรียน เมื่อผมเปิดกระเป๋าก็เจอมือปลอมอีกจนผมตกใจร้องออกมา เป็นฝีมือของเพื่อนผมเองที่เก็บได้แล้วเอามาคืน
“ว่าไงไอ้ตัวแสบคราวนี้ตกใจเสียเองสิท่า”
นายเจอมันได้ไงกัน
“ฉันเจอมันลอยอยู่ที่สระ(ปี๊บ!) ระหว่างที่กำลังจู๋จี๋กับแฟนอยู่ ฉันเห็นว่าแกโยนอะไรลงสระ(ปี๊บ!)เมื่อคราวก่อนเลยรู้ว่าเป็นมือแก เล่นเอาแฟนฉันแทบบ้าไปเลย เพราะแกทำให้เดทพังไม่เป็นท่าเลยกะจะแกล้งคืนซะเลย”
ฉันกะจะโยนทิ้งอยู่แล้วนะโว้ย
“อ่าวเหรอ โทดทีนะที่นำมาคืนให้ ไปล่ะ”
ผมเริ่มคิดว่า ไอ้มือปลอมนี้มันต้องมีคำสาบอะไรอยู่แน่ ผมไม่น่างกเลยที่เก็บมันมาหลอกเพื่อน ๆ ผมจึงโยนมันลงที่แม่น้ำปิงโดยคาดว่ามันคงไม่กลับมาแล้ว
เฮ่อ !ไปพ้น ๆ จากมันสักที
2เดือนให้หลัง ผมแทบจะเรียกได้ว่าลืมเรื่องมือของผมไปแล้ว ผมใช้ชีวิตปกติสุข เพื่อนทุกคนต่างลืมเรื่องมือปลอมไปแล้ว ผมกำลังเดินตามถนนอย่างสบายใจ แต่ผมกลับเจอมือปลอมตกอยู่ข้างถนน
อย่ามาหลอกหลอนตูนะว้อย
ผมวิ่งออกไปที่ท้องถนนโดยไม่คิดชีวิต ผมลืมดูไปเลยว่ามีรถวิ่งอยู่บนถนนอยู่
ผมก็เห็นเงาสะท้อนตัวผมที่หน้ารถทัวร์ นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่ผมเห็นและสติของผมก็หายไปเลยตลอดกาล
ความรู้สึกผมหายไปหมดยกเว้นมือซ้ายที่ขาดหายไปราวกับว่ามันกำลังไปหลอกหลอนคนอื่นต่อไป
เรื่องที่สอง
Bicycle Rider
เช้าในวันสดใสได้เข้ามาพร้อมกับชีวิตใหม่ ผมตื่นขึ้นแต่เช้าเพื่อที่จะไปทำงานที่บริษัทขายตรงที่สินค้าเป็นพวกเครื่องสำอางกับของใช้จำพวกที่ต้องใช้ในตอนเช้า และอยู่ในเมืองหลวงที่รถติดบัดซบ(กรุงเทพ)โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนที่มีอัตรารถติดมากเป็นพิเศษ ผมรีบขึ้นรถที่พ่อเคยให้ผมมาตั้งแต่ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย ผมคิดว่าการใช้รถในเมืองที่มีการจราจรติดขัดแถมไปคนเดียวนั้นเป็นเรื่องปกติ ต่อให้อยู่ห่างแค่ไม่เกิน10กิโลหรือนั่งมาคนเดียวก็เถอะ และผมก็คิดว่าเป็นพาหนะที่เร็วที่สุดและสะดวกที่สุด
ซึ่งผมคิดผิดในเวลาต่อมา
ในระหว่างที่ผมกำลังนั่งรถในถนนที่ค่อนข้างโล่ง ผมหันไปมองที่ข้างถนนและเห็นคนที่ขี่จักรยานเสือภูเขาสีแดงที่แปลกมากเพราะว่า 1 เขาใส่ชุดพนักงานบริษัทที่ดูเหมือนว่าทำงานที่เดียวกันกับผมยกเว้นที่มือมีถุงมือกับหัวที่มีหมวกกันน็อกของจักรยานและโซ่คล้องที่ห้อยใว้เหมือนกับสร้อยคอ 2 เขากำลังปั่นจักรยานบนทางเท้าอยู่ 3 เขาปั่นได้เร็วมากจนผมนึกว่าเป็นมอเตอร์ไซซะอีก และ4เขาเกาะรถ ไปมาระหว่างทางด้วยเหมือนเป็นตัวเร่งความเร็ว และอยู่ ๆ เขาก็มาเกาะที่รถของผมอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
เฮ้ยแก ไปให้พ้นนะ
ยังไม่ทันได้ตะโกนออกมาเขาก็ผละมือออกจากรถของผมเหมือนรู้ว่าผมกำลังด่าเขาอยู่และหายเข้าไปในซอยอย่างไร้ร่องรอย ผมรู้สึกหงุดหงิดมากที่ อยู่ ๆ มีคนมาเกาะรถสุดหวงและผมก็เข้าเขตรถติดให้ช้ำใจเล่นอีกต่อหนึ่ง
โชคยังดีที่ผมกะเวลาได้พอดีผมจึงเข้าทำงานเกือบสายไปแล้ว และในระหว่างที่นั่งโต๊ะแล้วจัดการเอกสารอยู่ รุ่นพี่ที่เคยอยู่ในมหาวิทยาลัยเข้ามาทักผมในทันทีที่เจอกัน
“ไงรุ่นน้องที่น่ารัก วันแรกที่ได้ทำงานเป็นไงบ้าง”
“โชคร้ายชะมัด ทั้งรถติดเอย ไฟแดงเอย แถมยังเจอไอ้คนบ้าที่ไหนไม่รู้ปั่นจักรยานมาเกาะรถผมอีกต่างหากจนผมเซ็งไปหมด แถมดูเหมือนเป็นคนที่อยู่ที่นี่ด้วย”
“โหย นายนี่โชคดีมากที่เจอกับคนดังของบริษัทตั้งแต่แรกเข้ามา เขาหน่ะตามตัวยากมากในท้องถนน นับว่านายมีบุญมากที่เขามาเกาะรถนายนะ”
บุญตรงไหนฟะ
“เขานั้นมีชื่อว่าสรจักร หรือเรียกว่านายจักร เป็นพนักงานฝ่ายขายและพ่วงด้วยงานส่งของที่เร็วที่สุดในบริษัท เขาไปได้ทุกสภาวะไม่ว่าจะมีแสงแดดเปรี้ยง หรือฝนตกห่าใหญ่ ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเขา แถมยังไม่เคยสายด้วย มีหลายคนคิดจะทำตามแต่ไม่มีใครทำได้เหมือนเขาเลย”
โม้แล้วม้าง
“ฉันเคยได้ยินมาว่า เขาเคยปั่นรถลงภูเขาได้เร็วมากจนได้เป็นแชมป์ในการแข่งขันดาว์นฮิล (การแข่งรถจักรยานเสือภูเขา) อีกด้วย”
อะไรมันจะเก่งขนาดนั้น
“แต่ฉันขอเตือนในฐานะรุ่นพี่อยู่อย่าง อย่าไปดูถูกว่าจนหรืออะไรที่เกี่ยวกับจักรยานของเขาเด็ดขาด ไม่งั้นละก็ บรื๋อ! ไม่อยากคิดถึงชะมัด”
แต่ผมแค่รับฟังแล้วทำงานต่อ และผมคิดต่อไปว่าเรื่องอะไรที่ต้องฟังเรื่องเพี้ยน ๆ กัน
ระหว่างพักเที่ยง ผมเจอกับจักรยานคันเดิมที่เจอเมื่อเช้าจอดอยู่ที่หน้าทางเข้า มันเป็นจักรยานที่สวยงามมาก ไม่มีรอยขีดข่วนเลยแม้แต่น้อยและมีเกียร์30เกียร์ มีโชคทั้งล้อหน้าและล้อหลัง มีมอเตอร์ดัดแปลงอยู่ในที่ปั่นจักรยานราวกับว่ามันเป็นการดัดแปลงให้แล่นได้หากไม่ต้องการปั่นเอง และล้อที่สึกไปมากจากการเร่งที่มหาศาลกับดิสเบรกที่ถูกย้อมจากแรงเสียดสีจนเป็นสีดำ
“นั่นนายกำลังยุ่งอะไรกับเรดฟินิกซ์ของชั้น”
ผมหันไปมองต้นเสียงและเจอกับเจ้าของจักรยาน นายสรจักรกำลังหมุนกุญแจที่ล็อคจักรยานอยู่
“ก็แค่ลองมองดูเท่านั้น และมอเตอร์ที่ดัดแปลงนั่นเอามาทำอะไรกัน”
“มอเตอร์นั้นเอาไว้ในกรณีที่ผมหารถเกาะเวลาเหนื่อยไม่ได้ไง”
“แล้วบ้านนายอยู่ใกล้มากเลยเหรอถึงได้ใช้จักรยานได้น่ะ”
“เปล่า ผมอยู้ไกลประมาณ10กิโลเศษเอง”
“โหเฮะ ไกลเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ว่าแต่บ้านนายจนขนาดที่ต้องใช้จักรยานแทนรถมอเตอร์ไซเลยเหรอ ฉันว่าเอามันไปขายและนำไปซื้อมอเตอร์ไซยังดีกว่าที่จะมาดัดแปลงแบบแปลก ๆ ให้เสียเงินดีกว่า”
แต่จู่ ๆ คลื่นความโกรธได้คืบคลานมาใกล้ผมราวกับมีลาวาไหลออกมาจากตัวเขา หรือมันจะเป็นคำเตือนที่รุ่นพี่ได้เตือนเอาไว้ ผมคิดว่าผมจะโดนต่อยแล้วในตอนนั้น แต่เขากลับพูดว่า “ฉันขอท้าดวลกับนายโดยการส่งของให้ลูกค้าในวันพรุ่งนี้ตอนเที่ยง แล้วฉันจะพิสูจน์เองว่าทำไมถึงใช้จักรยานแทนการใช้รถยนต์ทั้ง ๆ ที่บ้านฉันมีรถแสนแพงที่ซดน้ำมันเป็นบ้าเป็นหลัก ตอนนี้ขอไปส่งเอกสารก่อน” แล้วนายจักรก็ไขกุญแจแล้วนำโซ่มาคล้องคอ แล้วปั่นหายไปอย่างรวดเร็วมากจนตำรวจเข้าใจผิดในแว็บแรกว่าเป็นเด็กแว้นมาเอง
“ฉันเตือนแล้วว่าอย่าไปดูถูกมัน”รุ่นพี่ที่คุยกับผมมาทักผมหลังเวลาพัก
“อย่าบอกนะว่าผมต้องไปดวลกับไอ้บ้านั่นกัน”
“เออ ไอ้จักรมันชอบไปท้าดวลกับคนที่ไปดูถูกมันโดยการท้าดวลให้ส่งสินค้า และที่น่ากลัวก็คือ ไม่มีใครชนะมันเลยแม้แต่คนเดียว ต่อให้มีรถที่แรงก็เหอะ ขอให้โชคดีแล้วกัน”
ผมคิดว่าไม่มีทางหรอก เพราะว่ารุ่นพี่คนนี้เขามักชอบพูดโอเวอร์บ่อยไป
แต่ครั้งนี้รุ่นพี่เขาพูดความจริง แต่ผมไม่เชื่อเอง
วันต่อมา นายจักรดักรอผมอยู่ที่หน้ารถผมในทันที ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นว่ารถผมเป็นคันไหนในตอนที่มาเกาะรถของผม และยื่นถุงเครื่องสำอางกับยาสีฟันและแผนที่ แผนที่นี้มีเส้นทางที่วาดเองบางส่วนโดยที่มีเส้นสีแดงบ้าง ลีเหลืองบ้าง แดงบ้างและเส้นดินสอที่ขีดเข้าไปในซอยหรือในตัวอาคารต่าง ๆ
“นี่เป็นเส้นทางสำหรับรถที่ฉันสำรวจมาให้ นายจงเลี่ยงเส้นทางสีแดงโดยเด็ดขาด”
“แต่มันเป็นทางตรงนะ นายนี่มันมั่วได้ใจจริง ๆ”
“ไม่เชื่อก็ตามใจละกัน คนอุส่าช่วยทั้งทีกลับปัดออกซะนี่”
“เฮ่อะ ฉันไม่รู้ว่านายทำตัวแบบไหน แต่การแข่งครั้งนี้ฉันจะดัดนิสัยเพี้ยน ๆ ของนายออกไปละกัน”
“ให้มันจริงเหอะ”
และผมก็รีบขึ้นรถออกตัวไปก่อน ผมอยู่ชั้น2และคิดว่าเขาจะตามมาไม่ทันเพราะจอดอยู่ชั้นเดียวกัน แต่ทว่าเมื่อผมอยู่ที่ชั้นหนึ่ง จักรพุ่งออกมาจากทางเดินขึ้นลงบันไดพร้อมจักรยานซะงั้น และออกไปอย่างห้อตะบึง แม้แต่เนินที่ไว้ชะลอรถในสำนักงานเขาก็ไม่ยอมหยุด จนกระทั้งพอชนปุ๊บ ล้อหน้าได้เหินเหมือนรถไต่เขาและพุ่งออกไปเหมือนกำลังเหาะตรงไป
ไอ้บ้านี่มันบ้าระห่ำเป็นบ้า ไม่ใช่คนเพี้ยนธรรมดาแล้ว เป็นไอ้บ้าชัด ๆ
ผมขับแซงได้ที่ทางตรง ผมคิดว่ายังไงก็ไม่มีทางแพ้เขาแน่ แต่เมื่อถึงทางโค้ง เขากลับไม่ชะลอความเร็วแตกลับเอียงตัวเหมือนเป็นนักแข่งรถมาก ส่วนผมกลับต้องชะลอความเร็วแทนจนทำให้เขาแซงไปอีก
หมอนี่น่าจะไปแข่งรถมากกว่า
พอถึงซอย เขาหักเลี้ยวเร็วมากจนทำให้จักรยานเสียการทรงตัวแต่ทว่ากลับไม่ล้มแถมยังดูเหมือนเขาคุมได้อยู่
ไม่สิ เขากำลังดริฟอยู่ต่างหาก
สุดยอด ผมเคยดริฟอยู่บ้างแต่ว่าผมไม่เคยเห็นคนดริฟด้วยจักรยานมาก่อน เขาทำได้ไงกัน ผมหละงงไปหมดแล้ว
แต่เมื่อเข้าเขตสีเหลืองในแผนที่ที่เขาทำไว้ รถเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับความเข้มของเส้นทางที่ทำไว้ และในเส้นทางสีแดง ผมก็เจอกับขบวนรถติดที่เคยเจออยู่ทุกวันทั้ง ๆ ที่เป็นวันธรรมดา ผมเห็นจักรปั่นบนทางเท้าบ้าง เลาะไปตามช่องว่างของรถได้โดยไม่มีปัญหาได ๆ เลย รวมถึงยกจักรยานเดินขึ้นไปบนสะพานลอย และผมเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อเขาเข้าซอยแคบ ๆ ที่ห้ามรถทุกชนิดเข้ามา
ผมจึงเข้าใจว่าทำไมเขาถึงใช้จักรยานในตัวเมืองทันที
หลังจากการส่งของ ผมไปช้ากว่าถึง20นาที ในขากลับผมจึงลองเชื่อในแผนที่ที่ได้ทำไว้ แต่ผลกลับออกมาว่ามันไปสะดวกกว่าเส้นทางที่ไปก่อนหน้านี้อีก ดูเหมือนว่าเขานั้นสำรวจเส้นทางทุกครั้งที่เขาไป รวมถึงการสำรวจว่ารถติดที่ไหนอีก หรือการใช้เส้นทางที่จักรยานไปได้อีก ผมเห็นเขานั่งพักเหนื่อยที่น้ำพุหน้าบริษัทพร้อมดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ด้วย
“ไง รู้หรือยังว่าทำไมฉันถึงใช้จักรยาน”
“เข้าใจแล้วครับ เข้าใจอย่างถ่องแท้เลยครับ”
“แต่ว่านอกจากนั้นแล้ว ฉันยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ใช้ด้วย”
“อะไรอีกหละ”
“นายเคยดูสาระคดีเกี่ยวกับสภาวะโลกร้อนหรือเปล่า”
“ก็ดูบ้าง”
“และนายเคยคิดจะลดการปล่อยสารพิษหรือเปล่า หรือว่าลดการใช้พลังงานหรือเปล่า”
“ไม่เลย อย่าบอกนะว่าที่นายทำนั้นเป็นการช่วยโลกกัน”
“ใช่ ทุกคนต่างรับรู้ในเรื่องนี้แต่มีไม่กี่คนที่เห็นแล้วคิดจะทำตาม เหมือนกับนายนี่แหละที่คิดว่าการที่โลกเป็นแบบนี้เป็นเพราะโรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม แต่แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นฝีมือของเราที่เป็นคนทำขึ้นมาเอง เมื่อก่อนฉันเองก็เคยทิ้งเจ้านี้ให้ร้างไว้ในห้องเก็บของ และใช้แต่มอเตอร์ไซในมหาวิทยาลัย แต่มีครั้งหนึ่งฉันเห็นว่ามีชายอ้วนคนหนึ่งปั่นจักรยานที่เก่ากว่าคันนี้อีก และถนนในมหาวิทยาลัยก็เป็นคลื่นสูงบ้างเตี้ยบ้างแต่เขาก็ยังสู้อยู่ แต่ฉันที่เป็นแชมป์กลับจอดมันอยู่ในห้องเก็บของ และเมื่อฉันได้เจอเขาอีกครั้งเมื่อตอนที่ได้เรียนวิชาเดียวกัน เขาได้รับการผ่าตัดที่หัวเข่าและเขาบอกว่าเขาปั่นจักรยานทั้ง ๆ ที่เขายังเจ็บที่หัวเข่าอยู่ และเขาปั่นเพราะเขาคิดว่าหากเขาลดการใช้รถและมีคนอื่น ๆ คิดแบบเขา โลกเราจะลดการใช้น้ำมันได้หลายตันเลยทีเดียว และเมื่อฉันได้มองที่สีเขียวที่มีในมหาวิทยาลัยทำให้ฉันคิดว่า ฉันได้ก่อความเดือดร้องแก่เขามาก แต่ก็ยังไร้จิตสำนึกอยู่และทำต่อไป ฉันจึงเริ่มที่จะนำจักรยานมาใช้ใหม่ ถึงแม้จะเหนื่อย แต่ก็ทำให้ฉันมีความสุข”
ผมไม่นึกเลยว่าคนที่ผมเคยคิดว่าเป็นคนเพี้ยนจัดหรือคนอ้วนที่จักรเล่ามานั้นกลับคิดถึงส่วนรวมมาก แต่ผมที่เคยแม้กระทั้งร่วมการอภิปรายในเรื่องดังกล่าวกลับยังใช้รถทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นอยู่อีกทั้ง ๆ ที่วิกฤติดังกล่าวกำลังเข้าใกล้มาเรื่อย ๆ อย่างกระชั้นชิด
แล้วคุณหล่ะ เคยคิดที่จะช่วยโลกนี้หรือเปล่า
Fiction