FF7:OWS Chapter 1-4 Thai Version ฉบับแปลเอง

On the Way to a Smile" 1-4 (22 Sep 2005)

By Kazushige Nojima

Translated Japan : English by vilaeth

Translated English : Thai by pladoog



พวกผู้ใหญ่จากไปหมดแล้ว เหลือพวกเด็กๆ ราวยี่สิบคนยังอยู่รวมกันเพื่อทำงานเป็นหน่วยสำรวจ



พวกเด็กได้ข่าวว่าเมืองใหม่ที่เรียกกันว่า “เอดจ์” (Edge) กำลังดำเนินการก่อสร้างไปด้วยดี และยังได้ข่าวว่ากำลังมีการสร้างสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้าในเมืองใหม่ ตอนนั้นพวกเขาสามารถอยู่ด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใหญ่เข้ามายุ่ง หนำซ้ำพวกเขายังเป็นส่วนหนึ่งของการก่อสร้างเมืองอีกด้วย ถ้าพวกเขาเข้าไปในเมือง พวกผู้ใหญ่จะมองพวกเขาว่าเป็นพวกเด็กกำพร้า แล้วก็คอยดูแล เป็นเรื่องน่าละอายนะ พวกผู้ใหญ่ที่พยายามเลี้ยงเด็กที่ดูแลตัวเองได้ แต่พวกเด็กๆก็คิดอย่างนั้นได้ไม่นาน คนในเมืองมีเครื่องจักรมากมายคอยอำนวยความสะดวก ครั้งหนึ่งเดนเซลกับเพื่อนๆ มีโอกาสเดินทางด้วยปั้นจั่นขนาดใหญ่ มันสามารถยกบ้านเคลื่อนย้ายเป็นหลังๆ ได้ในคราวเดียว นับแต่นั้นมา สมาชิกของกลุ่มค้นหาก็ลดลงเรื่อยๆ คืนวันหนึ่ง เดนเซลนับเพื่อนๆและพบว่าพวกเขาเหลือกันแค่ 6 คน แน่นอนว่าเขาอยากรั้งพวกเขาเอาไว้ แต่เขาก็ไม่ทำ ตอนนั้นพวกเขาหิวโซและไร้อนาคต ต่อมาไม่นาน เด็กผู้หญิงคนสุดท้ายก็จากไป เธอบอกว่าเธอจะเข้าไปในเมือง



***



จู่ๆ เดนเซลก็หัวเราะขึ้นมา



“มีอะไรตลกหรือ?” รีพถามด้วยความอยากรู้



“ผมไม่เคยชอบเด็กผู้หญิงคนนั้น พวกผมทุกคนพูดอยู่เสมอว่าผู้หญิงเป็นแค่ส่วนเกิน แต่พวกเราก็ยังอยากอยู่ร่วมกับเด็กผู้หญิง งานในกลุ่มหนักขึ้นเพราะพวกเราเหลือกันน้อย และหนักขึ้นอีกเมื่อเธอจากไป”



รีฟหัวเราะ



“ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว ตอนนั้นผมมัวแต่กังวลและโกรธกับเรื่อง....นั่นแหละ คุณคงรู้”



“เธอน่าจะขอบคุณเด็กหญิงคนนั้นซักหน่อย”



“ไม่ทันแล้วครับ เธอไม่อยู่แล้ว”



****



เมื่อเดนเซลตื่นขึ้น ทั้งกลุ่มเหลือแค่ 2 คน เขากับเด็กผู้ชายคนหนึ่งชื่อ “ริค” (Ricks)



“ฉันว่าแล้ว ในที่สุดก็เหลือแต่ตะปูกับหลอดไฟ” เดนเซลหัวเราะ



“จะไปหวังอะไรกับพวกมันล่ะ” ริคตอบแบบขำๆ



“ฉันจะไปซื้อข้าวเช้า จะดูด้วยว่ามีงานอะไรพอจะทำได้บ้าง”



“รอแป๊บ” ริคบอกแล้วไปที่ซ่อนเงิน



“เฮ้ย! เดนเซล! เราโดนขโมย!”



ไม่มีเศษตังค์เหลือแม้จะซื้อขนมปังซักแผ่น พวกเขานั่งเงียบๆ ริคก็พูดขึ้น



“ไปที่เอดจ์กันมั๊ย เขาว่ามีอาหารแจกฟรีที่นั่น”



“แล้วเราก็เป็นฝ่ายแพ้” เดนเซลว่า



แวบหนึ่ง เดนเซลนึกถึงที่พ่อของเขาเคยเล่า “เราจับหนูมากินก็ได้?”



“หนู?”



“ใช่ พ่อฉันเคยบอกว่าในสลัมจะมีพวกที่ยากจนมากๆ พวกเขากินหนูเป็นอาหาร ที่นี่คือสลัม แล้วเราก็จน...”



“เอาจริงอ่ะ?”



“จริงสิ ฉันจะหาหนูมากิน ตอนนี้ฉันเป็นเด็กสลัมเต็มตัว”



ริคยืนขึ้นช้าๆ ปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า เดนเซลลุกขึ้นแล้วมองไปรอบๆ



“เราต้องใช้ฉมวก”



“นายจะใช้ฉมวก นายก็ทำเองเหอะ” ริคพูดหน้าบึ้ง “ฉันเกิดที่สลัม อยู่ที่นั่นมาตั้งแต่เกิด และฉันก็ไม่เคยกินหนูด้วย”



เดนเซลตกใจที่ทำให้ริคโกรธ “ฉันไม่ยักรู้”



“แล้วถ้านายรู้นายจะทำไง ไม่เป็นเพื่อนกับฉันรึไง?”



“เปล่า ไม่ใช่อย่างงั้นนะ!”



“นายไม่เข้าใจหรอก นายมันเด็กงี่เง่าที่อพยพมาจากเพลท กินหนูรึ! นายคิดว่าพวกฉันเป็นอะไรกัน?”



“ริค...”



“จำไว้นะ หนูทุกตัวที่นี่อาศัยอยู่ในสารพิษที่ออกมาจากท่อระบายน้ำ ที่พวกนายทิ้งมันลงมาจากข้างบน ไม่มีใครโง่พอที่จะกินมันหรอก” ริคพูด และเขาก็จากไป



****



เดนเซลมองออกไปข้างนอกร้าน



“ผมไม่ได้ตามเขาไป ผมไม่คิดว่าเขาจะให้อภัยผม”



“ทำไมล่ะ?”



“ผมมาจากเพลทนี่นา ผมคุ้นเคยแค่แถวๆ สถานีกับ Sector 7 ผมไม่อยากไปเขตอื่น ผมอยากจะไปที่เอดจ์ แต่คิดว่ามันก็คงเหมือนกันกับสลัมน่ะแหละ สกปรกและยากจน”



“ริคเป็นยังไงบ้าง?”



“คงสบายดีมั๊ง เขาไม่พูดกับผมนี่”



***



เขากลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง เดนเซลเหลาไม้อันหนึ่งให้เป็นฉมวกและมองหาหนู เขาจะลองจับมาซักตัวแล้วลองกินดู เขาคิดถึงพ่อ คนในสลัมไม่กินหนูหรอกนะ แต่ฉันนี่แหละจะกินมัน เพราะฉันไม่มีเงิน ไม่มีงาน และที่นี่ก็แย่กว่าสลัม ฉันเป็นเด็กจาก Sector 7 ฉันจะอาศัยอยู่ที่นี่ไม่ได้



ความโดดเดี่ยวกำลังกัดกร่อนกำลังของเดนเซล เหตุการณ์เหมือนกับตอน Sector 7 ถูกทำลาย แต่ตอนนี้พ่อ-แม่ อาคัม คุณรูวี กัสคิน และเพื่อนๆ ทุกคนที่เขาเคยเจอและเคยช่วยเหลือจากเขาไปแล้ว ตลอดกาล



เขาคิดว่าคงไม่มีโอกาสจะยิ้มได้อีก แม่เขาเคยพูดว่าอะไรนะ? ชีวิตไร้ค่าถ้าไม่มีรอยยิ้ม ถูกที่สุดเลยครับแม่ เขาคิด แต่หนูสกปรกที่อาศัยในน้ำเสียจะช่วยเขาได้



***



“โว้วโว้วโว้ว!!” จู่ๆจอห์นนี่ที่นั่งฟังอยู่ห่างๆ ร้องตะโกนขึ้นมา ทำเดนเซลตกใจ



“เฮ้! “ผมเคย” คิดอย่างนั้นก็จริง” เดนเซลแก้ตัว “แต่ผมคิดผิด ไม่งั้นผมคงไม่อยู่ที่นี่ตอนนี้หรอก”



“หึ ฉันนึกว่าเธอคิดถูกซะอีก”



“ก็เพราะว่าผมเจอคนที่ดีที่สุดเท่าที่คุณรู้จักน่ะสิ”



“ในสถานการณ์แย่ๆ แบบนั้นเหรอ” จอห์นนี่พูด



***



ไม่มีหนูแถวนั้น เขาเดินล่าหนูมาเกือบชั่วโมง จนกระทั่งมาถึง Sector 5 และมาจนถึงโบสถ์ร้างแห่งหนึ่ง มีมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งจอดอยู่ที่ประตู เขาไม่เคยเห็นรถแบบนี้มาก่อน แต่ที่สะดุดตากว่านั้นคือโทรศัพท์มือถือแขวนอยู่ที่รถ



เดนเซลยิ้มออกมา ฉันแค่ขอยืมแป๊บเดียว ฉันขอโทรไปหาใครซักคนหน่อย เขาเดินไปที่รถแล้วฉวยมือถือขึ้นมา เขาโทรไปที่บ้านใน Sector 7 จินตนาการว่าเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในซากปรักหักพัง



“ขอโทษค่ะ ขอระงับการให้บริการชั่วคราวใน Sector 7”



เดนเซลเคยตามหาพ่อแม่ของเขาตอนที่ทำงานอยู่กับกลุ่มค้นหา แต่ไม่เจอพวกเขา อาจจะอยู่ใต้ซากตึกก็ได้ เขาคิด คงไม่รอดหรอก



“ขอโทษค่ะ ขอระงับการให้บริการชั่วคราวใน Sector 7”



เดนเซลมองโทรศัพท์แล้วลองฟังเสียงดู เขามองเห็นฝั่งตะวันออกของ Sector 5 เขาหวังว่าคุณรูวีกำลังนอนหลับอย่างสงบอยู่ข้างบนนั้น ที่นี่อยู่ข้างใต้หลุมศพของเธอ เขาคิด มิน่าถึงได้เหงานัก



“ขอโทษค่ะ ขอระงับการให้บริการชั่วคราวใน Sector 7”



เขาวางสาย อยากจะขว้างโทรศัพท์ทิ้งแล้วกระทืบให้แหลก แต่เขาไม่ได้ทำ และลองโทรออกอีกครั้ง เขาพยายามนึกถึงเบอร์ที่บ้านของคุณรูวี แต่เขาไม่รู้เบอร์ของเธอ เขาเปลี่ยนใจ ตรวจดูที่โทรศัพท์ ดูรายการเบอร์ที่รับสายและลองโทรไปที่เบอร์แรกสุด เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น และใครบางคนรับสาย



“คลาวด์! ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะโทรมา มีอะไรเหรอ?”



เดนเซลฟังเสียงหญิงสาวปลายสายอยู่เงียบๆ



“คลาวด์?” เสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความแปลกใจ



“..เปล่าครับ ผมไม่ใช่”



“นั่นใครน่ะ? นี่เบอร์ของคลาวด์ไม่ใช่เหรอ”



“ผมไม่รู้...”



“เธอเป็นใคร?”



“ผมไม่รู้....ผมไม่รู้ว่าผมควรจะทำอะไรต่อไป” เดนเซลเสียงสั่น



“....เธอร้องไห้เหรอ?”



เดนเซลรู้สึกว่าน้ำตาของเขาไหล เขาพยายามกลั้นน้ำตา เขาหลับตาเพราะรู้สึกเจ็บที่หน้าผากอย่างรุนแรง เขาทำโทรศัพท์ตกพื้น ร่างของเขาแข็งกระด้าง มือเขากุมที่หน้าผาก รู้สึกเหนียวเหนอะ ไม่นะ ไม่ ฉันยังไม่อยากตาย! เขาอยากร้องขอให้โลกหรือพระเจ้า หรือใครก็ได้ที่ได้ยินและดูแลเขา แต่ความเจ็บปวดทำให้เขาทำได้แค่ภาวนาอยู่ในใจ อย่าเป็นสีดำนะ อย่าเป็นสีดำ เขารู้สึกกลัวและทรมาน เขาเอามือออกแล้วมองดู



สีดำ



***



“ผมไม่อยากจะจำเท่าไหร่ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ผมฟื้นขึ้นมาบนเตียง ทีฟากับมารีนเฝ้าผมอยู่ตรงนั้น หลังจากนั้น....คุณรู้แล้วนี่นา ใช่มั๊ย?”



“ก็รู้อยู่พอสมควร”



“ผมต้องขอบคุณทุกคน พ่อกับแม่ คุณรูวี คุณกัสคิน ทุกๆคนในทีมค้นหา คนอื่นๆ ด้วย ทีฟา คลาวด์ มารีน แล้วก็...”



รีฟพยักหน้า



“ผมอยากจะเป็นเหมือนใครซักคน คราวหน้า ผมจะเป็นคนปกป้องคนอื่นเอง”



รีฟนิ่งเงียบ



“ให้ผมเข้าร่วมด้วยเถอะ” เดนเซลขอร้อง



“ไม่ๆ อย่านะ!” จอห์นนี่ร้อง



“คุณน่ะเงียบๆเถอะ!” เดนเซลพูด



“เธอยังเด็กอยู่เลย!”



“ไม่ต่างอะไรกันหรอก!”



“ไม่ได้”รีฟเอ่ยขึ้น “อันที่จริง W.R.O ไม่รับเด็ก”



“เห็นมั๊ย!” จอห์นนี่ยิ้ม



“อะไรกัน! แล้วทำไมคุณไม่บอกผมตั้งแต่แรก?”



“ผมพึ่งตัดสินใจตอนนี้เอง ตอนที่ผมฟังเธอเล่า ผมถึงได้รู้ว่า เด็กมีสิ่งที่เด็กเท่านั้นทำได้ ผมต้องการให้เธอทำสิ่งนั้นให้กับผม”



“....คุณหมายความว่าไง?”



“สร้างกำลังใจให้กับผู้ใหญ่อย่างพวกผม”



เดนเซลรอให้เขาพูดต่อ แต่รีฟกลับยืนขึ้น



“อ้อ แล้วก็...”



เดนเซลมองรีฟ สายตาเต็มไปด้วยความหวังว่าเขาจะเปลี่ยนใจ



“ขอบคุณที่ดูแลแม่ของผมนะครับ”



รีฟหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋า แล้วคลี่ให้เดนเซลดู ผ้าเช็ดหน้าสีขาวลายดอกไม้....ไม่น่าเชื่อ....



**



รีฟกลับไปแล้ว จอห์นนี่เข้ามาเก็บโต๊ะ เดนเซลนั่งมองผ้าเช็ดหน้าของเขาเงียบๆ



“เฮ้” จอห์นนี่เรียก เขาหยุดทำงาน “ถ้าเธออยากจะต่อสู้ เธอก็ทำเองสิ ไม่เห็นต้องเข้า W.R.O เลยนี่นา? ทำไมถึงอยากเข้าร่วมนักล่ะ?”



“คลาวด์...”



“เขาทำไมเหรอ?”



“เขาเคยเป็นทหารมาก่อน ถ้านั่นทำให้เขาแข็งแกร่ง ผมก็อยากเป็นอย่างนั้นบ้าง”



“วันเวลามันเปลี่ยนไปแล้วล่ะ ฉันรับรองได้”



“ยังไง?”



“ทุกวันนี้ คนที่จะช่วยปกป้องเยียวยาความทุกข์ของคนอื่นน่ะ ไม่ใช่คนที่จะจับปืนหรือดาบต่อสู้หรอก เป็นแค่คนที่อยากได้การยอมรับต่างหาก ”



“ไม่ใช่ว่าผมอยากจะเป็นที่ยอมรับหรืออะไรนะ” เดนเซลแย้ง เขาเคยมีคนคอยช่วยเหลือมากมาย ทั้งชายและหญิง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทุกคนล้วนมีจุดหมายในชีวิต



“ผมคิดว่า...ผมอยากตอบแทนพวกเขาทุกคน”



***



จบ เรื่องของเดนเซล
Anime

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา