Mecha Story: รถถังยืนได้ (ที่ไม่ใช่หมากล้อง)
LF-003-C วิทซ์
Vertical Tank (รถถังแนวตั้ง)ที่ได้รับการผลิตเชิงพานิชย์รุ่นแรกของโลกที่พัฒนาตามแนวคิดของสหรัฐอเมริกาในปี2045ที่ต้องการอาวุธซึ่งจะสามารถคงยุทธานุภาพไว้ได้ในขณะที่ต้องลดกำลังพลในกองทัพลงตามสภาวะเศรษฐกิจซบเซา แต่วิทซ์นั้นกลับเป็นVTที่พัฒนาโดยบริษัทไลคัมมิงดีเฟนส์ซิสเต็มซึ่งไม่ใช่คู่ค้าของอเมริกา
ในสงครามปี 2080 ระหว่างกองกำลังแปซิฟิกริมกับเกาะไหฉีเถา(ที่พวกแปซิฟิกริมเรียกว่าเกาะโอเชียนซิตี้)นั้น ก็ยังมีการใช้งานวิทซ์อยู่ ใช้อาวุธเป็นปืนไรเฟิล ปืนกล และเกรเน็ดลันเชอร์ แม้ว่าการแข่งขันอย่างรุนแรงในตลาดVTนั้นทำให้วิทซ์เป็นVTที่ล้าสมัยมากแล้ว แต่เนื่องจากราคาถูกแบบพังไปไม่เสียดายเพราะไลคัมมิงมีของที่ผลิตค้างสต็อกไว้เป็นจำนวนมาก และยังนับว่าเป็นVTที่ศูนย์ถ่วงดีมากเลยทีเดียว กองกำลังไหฉีเถาและทหารรับจ้างจาราแลคส์จึงยังมีการใช้งานเป็นหน่วยลาดตะเวนและเป็นเครื่องฝึกนักบิน แต่ในการต่อสู้จริงนั้น วิทซ์ถึงกับได้รับฉายาว่าเป็นโลงศพหุ้มเกราะ คุณภาพเสียงวิทยุและจอภาพแบบโมโนโครมนั้นได้รับ"คำยกย่อง"ว่าได้บรรยากาศของสมัยสงครามโลกมากเลยทีเดียว
เมื่อไหฉีเถานำสคาร์เฟซของบริษัทกูดแมนเข้าประจำการเป็นกำลังหลัก ไลคัมมิงก็ได้ทำการปรับปรุงวิทซ์ที่เหลืออยู่เป็น LF-003-C-M เอ็มวิทซ์ (m = modified) โดยเสริมเกราะให้หนาขึ้น ปรับปรุงมอนิเตอร์ของค็อกพิตเป็นจอสีแบบทั่วไป และแก้ไขโครงสร้างให้บรรทุกอาวุธได้มากขึ้น ไลคัมมิงยังเสนอบริการปรับปรุงวิทซ์ที่ซื้อไปแล้วของลูกค้าแบบไม่เอากำไร แต่ก็ยังเป็นVTที่อ่อนแอมากอยู่ดี และต่อมาไลคัมมิงก็ยุบแผนกวิศวกรรมของวิทซ์ให้เหลือเพียงฝ่ายซ่อมบำรุงไว้บริการลูกค้าโดยไม่มีการพัฒนาต่อมาอีก
เมื่อสงครามระหว่างกองกำลังแปซิฟิกริมกับไหฉีเถานั้นส่งสัญญาณชัดเจนว่ายืดเยื้อแน่แล้ว กลุ่มไรท์บราเธอร์ที่ต้องการปลดปล่อยดินแดนจากการปกครองของชาติอื่นๆก็ฉวยโอกาสตั้งตนเป็นอิสระจากไหฉีเถา โดยไรท์บราเธอร์นั้นรู้ว่ากำลังของตนเทียบกับอีกสองฝ่ายไม่ได้และใช้ข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ทำการต่อสู้แบบกองโจรเป็นหลัก VTรุ่นแรกที่ไรท์บราเธอร์ใช้นั้นก็คือ VT001 โคลต์ ซึ่งจริงๆแล้วก็คือวิทซ์ที่ไรท์บราเธอร์เอามาปรับแต่งให้เหมาะกับสงครามกองโจรในพื้นที่ทุรกันดารมากขึ้น โดยได้ปรับปรุงระบบขับเคลื่อนให้มีกำลังมากขึ้นจนสามารถเดินในพื้นที่หนองบึงหรือขึ้นเนินได้ง่าย ด้านอาวุธนั้นนอกจากอาวุธเดิมของวิทซ์แล้ว โคลต์ยังมีมิสไซล์กับมาร์คเกอร์ลันเชอร์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ส่งสัญญาณระบุตำแหน่งของศัตรูบนเรดาร์ โคลต์นั้นมีรุ่นย่อยคือ VT-001C โคลต์เอ็กเซคิวทีฟ ซึ่งเป็นเครื่องจ่าฝูงที่มีเกราะและอาวุธที่มีอานุภาพมากกว่าเดิม
M7-D-B ดีไซเดอร์
VTที่บริษัทโคมัตสุแลนด์ซิสเต็มพัฒนาให้กองกำลังแปซิฟิกริมตามความต้องการVTที่มีสมรรถนะสมดุลย์ในทุกด้านเพื่อให้สามารถใช้งานแบบเอนกประสงค์ได้ดี ดีไซเดอร์นั้นนอกจากจะมีทั้งความเร็ว สมดุลย์เครื่อง และเกราะป้องกันในระดับดีตามที่ต้องการแล้วยังเป็นVTรุ่นแรกที่ติดตั้งอาวุธระยะประชิดตัว นั่นก็คือคบพลาสม่าทอช ดีไซเดอร์ยังสามารถเลือกใช้อาวุธที่รุนแรงอย่างไรเฟิลแฝด315ม.ม.ได้ ในการรบทั่วๆไปแบบซึ่งหน้านั้นดีไซเดอร์นับได้ว่าเป็นVTรุ่นที่หนึ่งซึ่งแข็งแกร่งที่สุด
เนื่องจากดีไซเดอร์เป็นVTที่นับได้ว่าประสพความสำเร็จอย่างมาก กองกำลังแปซิฟิกริมจึงมีความมั่นใจจนทำสัญญาให้โคมัตสุพัฒนาVTแบบยิงสนับสนุนโดยไม่สนใจบริษัทWMซึ่งเป็นคู่แข่ง แต่พื้นฐานของบริษัทโคมัตสุซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ก่อสร้างมาก่อนเข้าวงการVTนั้นทำให้ไม่เชี่ยวชาญด้านการออกแบบอาวุธระยะไกล โคมัตสุได้ใช้วิธีดัดแปลงโครงสร้างเดิมของดีไซเดอร์ เป็น M7-D-VL1 ดีไซเดอร์วอลแคนิค โดยได้ถอดเกราะหลายๆจุดออกเพื่อปรับโครงสร้างให้เหมาะกับการติดตั้งอาวุธปืนใหญ่ แต่ดีไซเดอร์วอลแคนิคก็นับเป็นเครื่องที่ศูนย์ถ่วงแย่มาก นอกจากนั้นยังมีกำลังเครื่องต่ำ ทำให้เร่งเครื่องหรือเดินขึ้นเนินได้ลำบาก ปืนใหญ่ที่ใช้ยังมีรัศมีแรงระเบิดที่เล็กอีกด้วย
RW-102-D ฟาลเชียน
VTแบบเบาที่บริษัทWMพัฒนาให้กองกำลังแปซิฟิกริมและเป็นคู่แข่งของดีไซเดอร์ ฟาลเชียนนั้นมีความเร็วสูงสุดในVTรุ่นแรกทั้งหมด และสามารถใช้ปืนไรเฟิลจู่โจม 200 ม.ม.ที่มีพลังทำลายสูงกับมิสไซล์พ็อดแฝดได้ นอกจากจะใช้งานเป็นยูนิตลาดตะเวนและสอดแนมได้แล้วจึงเหมาะกับการโจมตีแบบฉาบฉวยด้วย ฟาลเชียนนั้นมีน้ำหนักเบาจนสามารถทำการกระโดดร่มได้ แต่ฟาลเชียนก็มีเกราะที่บางและศูนย์ถ่วงที่ไม่ดีนัก จุน้ำมันและกระสุนได้น้อย นักบินที่จะใช้ฟาลเชียนได้ดีจึงต้องมีฝีมือพอสมควร ทั้งยังมีกำลังเครื่องต่ำจึงเหมาะกับการใช้งานบนที่ราบเท่านั้น กองกำลังแปซิฟิกริมจึงได้เลือกใช้ดีไซเดอร์เป็นกำลังหลัก และสั่งซื้อฟาลเชียนเป็นกองหนุนเท่านั้น ในช่วงที่เริ่มทำสงครามกับไหฉีเถานั้นแปซิฟิกริมได้ใช้ฟาลเชียนทำการรุกคืบหน้าอย่างรวดเร็วหลังจากยกพลขึ้นฝั่งเพื่อหวังปิดฉากสงครามให้เร็วที่สุด แต่ก็ล้มเหลวพร้อมกับต้องสูญเสียกำลังไปมากมายเมื่อเจอกับด้วยภูมิประเทศแบบเนินเขาและVTแบบยิงระยะไกลที่มีประสิทธิภาพของไหฉีเถาอย่างวอร์เทกซ์
บริษัทWMนั้นได้พัฒนารูปแบบของฟาลเชียนต่อมาด้วยเทคโนโลยีของVTรุ่นที่สอง เป็น RW-103-D เบลด ระบบของVTรุ่นที่สองนั้นสามารถใช้ override ซึ่งเป็นการเร่งสมรรถนะของเครื่องจนเกินขีดปลอดภัยของระบบได้เป็นการชั่วคราว และ FSS (Forecast Shooting System) ซึ่งช่วยเล็งอาวุธแบบอัตโนมัติทำให้ความแม่นยำสูงขึ้นมากและยังใช้มิสไซล์นำวิถีได้ เบลดยังสามารถใช้ปืนไรเฟิลจู่โจมที่มีอานุภาพมากกว่าเดิมได้ WMยังได้ปรับปรุงประสิทธิภาพของบาลานเซอร์เพื่อให้รองรับการเคลื่อนไหวในโหมด override ทำให้ศูนย์ถ่วงของเบลดนั้นดีกว่าฟาลเชียนด้วย
บริษัทWMยังได้พัฒนา RW-105-J-D เรเปียร์ ขึ้นมาอีกรุ่นเพื่อให้เป็นVTสำหรับครูฝึกนักบินของกองกำลังแปซิฟิกริม ซึ่งต้องเป็นVTที่มีความเร็วสูงและสามารถใช้สาธิตการต่อสู้ในระยะประชิดได้ เรเปียร์นั้นเป็นVTที่เร็วที่สุดแต่ก็มีศูนย์ถ่วงที่แย่กว่าเบลดทำให้บังคับยากมาก ถ้ามือใหม่เอาไปใช้ก็เรียกได้ว่ามีโอกาสล้ม100% ปกติแล้วจึงไม่มีการเอาไปใช้ต่อสู้จริงและเก็บไว้ให้ครูฝึกVTซึ่งต้องเป็นนักบินที่มีฝีมือสูงอยู่แล้วใช้สอนการบังคับเท่านั้น แต่ถ้าต้องเอาไปใช้สู้จริงและนักบินสามารถบังคับได้ก็นับว่ามีพลังในการต่อสู้สูงมาก นอกจากอาวุธของเบลดแล้ว เรเปียร์ยังสามารถใช้ปืนครกนำวิถีได้ และมีอาวุธเฉพาะตัวคือสตันร็อดซึ่งใช้กระแสไฟฟ้าแรงสูงทำให้ระบบของVTศัตรูช็อตดับได้
GA-005-B สคาร์เฟซ
เมื่อเริ่มทำสงครามกับกองกำลังแปซิฟิกริมนั้น แม้ว่ากองกำลังไหฉีเถาจะมีวอร์เทกซ์ซึ่งเป็นVTแบบยิงสนับสนุนระยะไกลที่ดีกว่าของแปซิฟิกริม แต่ในการต่อสู้แบบปกตินั้นวิทซ์ที่เป็นกำลังหลักก็ไม่สามารถต่อสู้กับดีไซเดอร์และฟาลเชียนได้เลย ไหฉีเถาจึงได้ให้บริษัทกูดแมนพัฒนาVTที่สามารถใช้เป็นกำลังหลักแทนวิทซ์และสามารถรับมือVTของแปซิฟิกริมได้ แม้ว่าจะเป็นVTที่เร่งพัฒนาและนำเข้าประจำการอย่างเร่งด่วน แต่สคาร์เฟซก็นับว่าเป็นVTที่ประสพความสำเร็จอย่างมาก แม้จะไม่สามารถต่อสู้กับดีไซเดอร์แบบซึ่งๆหน้าได้ แต่สคาร์เฟซนั้นเป็นVTรุ่นแรกที่มีปืนสไนเปอร์ไรเฟิลเป็นอาวุธ แม้ว่าซอฟแวร์ของVTแบบมาตรฐานที่ใช้ในขณะนั้นจะไม่รองรับอาวุธปืนที่มีระยะไกลทำให้นักบินของสคาร์เฟซต้องติดตั้งแพทช์เล็งด้วยตนเอง แต่พลังทำลายและระยะหวังผลของสไนเปอร์ไรเฟิลก็สามารถทำลายเป้าหมายได้ก่อนจะเข้าสู่ระยะที่ทำการตอบโต้ได้ และในกรณีที่ฟาลเชียนใช้ความเร็วเข้าในระยะกลางได้นั้น สคาร์เฟซก็มีเกรเน็ดลันเชอร์แบบสามลำกล้องซึ่งมีขอบเขตการยิงที่กว้างจึงสามารถตอบโต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ต่อมากูดแมนยังได้พัฒนา GA-005-D สคาร์เฟซA1 เพื่อตอบสนองความต้องการVTที่มีความเร็วใกล้เคียงกับฟาลเชียน โดยได้แก้ไขให้เกราะบางลงและถอดโล่ที่ขาและแขนออก สคาร์เฟซA1จึงหนักช่วงบนและมีศูนย์ถ่วงไม่ดีนัก เนื่องจากใช้โครงสร้างที่ดัดแปลงมาจากสคาร์เฟซ สคาร์เฟซA1จึงยังช้ากว่าฟาลเชียนแต่ก็มีความทนทานสูงกว่าเช่นกัน นอกจากนั้น สคาร์เฟซA1ยังมีกำลังเครื่องมากกว่าฟาลเชียนจึงสามารถใช้ในพื้นที่ทุรกันดารหรือขึ้นเนินได้ดีกว่า และสคาร์เฟซA1ก็ยังคงใช้สไนเปอร์ไรเฟิลได้เหมือนรุ่นปกติจึงสามารถทำหน้าที่ซุ่มยิงจากชัยภูมิสำคัญได้ นอกจากนั้นเมื่อทำหน้าที่หน่วยสอดแนมก็จะสามารถใช้มาร์คเกอร์ลันเชอร์ระบุตำแหน่งของศัตรูบนเรดาร์แล้วให้วอร์เทกซ์ยิงปืนใหญ่ถล่มจากระยะไกลได้
เมื่อแปซิฟิกริมส่งVTรุ่นที่สองอย่างเบลดและโปรมิเนนซ์ลงสู่สนามรบ กูดแมนเองก็ปรับปรุงดีไซน์ของสคาร์เฟซเป็นรุ่นที่สอง GS-014-B สคาร์เฟซทูว์ ด้วยเช่นกัน ระบบช่วยเล็งอาวุธแบบอัตโนมัติ FSS นั้นทำให้สคาร์เฟซทูว์ใช้สไนเปอร์ไรเฟิลที่มีอานุภาพและระยะหวังผลที่ไกลยิ่งกว่าเดิมได้ และด้วยกำลังเครื่องกับความสามารถ overrideก็ทำให้สคาร์เฟซทูว์เข้าไปในชัยภูมิที่เหมาะกับการซุ่มยิงและหลบออกมาได้โดยง่าย
กูดแมนยังได้ดัดแปลงโครงสร้างของสคาร์เฟซทูว์ต่อมาเป็น GX-0nn-D การ์ไปค์ ตามความต้องการVTที่สามารถสู้กับโปรมิเนนซ์ในระยะประชิดตัวได้ การ์ไปค์เป็นVTเพียงรุ่นเดียวของไหฉีเถาที่ออกแบบมาเพื่อสู้ในระยะประชิดตัว มีลิ่ม"แบงนีดเดิล"ติดอยู่ที่ลำตัวซึ่งเป็นอาวุธระยะประชิดที่มีอานุภาพสูงกว่าพลาสมาทอชมาก การ์ไปค์ยังมีอาวุธยิงระยะประชิดอย่างปืนไฟหรือนาปาล์มลันเชอร์ รวมทั้งสามารถวางทุ่นระเบิดได้ด้วย กูดแมนยังได้ปรับสมรรถนะที่สำคัญเกี่ยวกับการต่อสู้ในระยะประชิดอย่างการหันทิศทางให้สูงกว่าเดิม
(มีต่อrep3ครับ)
Super Robot Wars
Games
Mecha Story