MS Story : มาตามสัญญา ปราการเวหา มาครอส

ตอนแรกว่าจะเอาหุ่นลูกกระจ๊อกของอินบิตในมอสปีด้ามาลงด้วย แต่ที่ไม่พอแล้ว







SDF-1 มาครอส

(นี่เป็นข้อมูลของภาคTVนะครับ ส่วนของหนังDo You Remember Loveจะมีรายละเอียดแตกต่างไปบ้าง เช่นแขนทั้งสองข้างของมาครอสจะเป็นยานชั้นARMD)

เดิมทีเรียกASS-1 (Alien Star Ship 1) เป็นยานอวกาศขนาดยักษ์ของมนุษย์ต่างดาวซึ่งตกลงมากระแทกโลกในปี1999(ผ่านมาแล้วนี่นา...) แม้จะไม่มีร่องรอยของเจ้าของยาน แต่จากการศึกษาก็รู้ได้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีร่างกายใหญ่กว่ามนุษย์หลายเท่าและมีวิทยาการที่ก้าวหน้ากว่ามนุษย์นับร้อยปี การตกลงมาของยานลำนี้ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อตั้งองค์กรที่จะปกครองโลกภายใต้กองกำลังของUN ซึ่งระหว่างที่มีสงครามกับกลุ่มต่อต้าน ยานASS-1ก็ได้รับการสร้างใหม่และได้ชื่อSDF-1 มาครอส (SDF = Super Dimension Fortress หมายถึงป้อมปราการที่สามารถเดินทางข้ามมิติได้ ส่วนชื่อมาครอส แผลงมาจากมาโครที่แปลว่าใหญ่)และได้มีการสร้างเมืองมาครอสซิตี้โดยรอบของยานลำนี้

ในปี2009 มาครอสซึ่งเตรียมทะยานฟ้าภายใต้การบัญชาการของบรูโน่ J.โกรบอล มนุษย์ต่างดาวร่างยักษ์ เซ็นทราดีซึ่งไล่ตามยานลำนี้มานานก็โผล่มา (เผ่าที่สร้างมาครอสเป็นศัตรูเก่าของเซ็นทราดีครับ) ปรากฏว่ามาครอสนั้นถูกตั้งโปรแกรมไว้ให้ยิงปืนหลักใส่เซ็นทราดีทันทีที่เจอหน้า ทำให้มนุษย์โลกต้องทำสงครามกับเซ็นทราดีโดยไม่มีโอกาสได้เจรจากันก่อนด้วยซ้ำ

หลังจากที่ระบบยกตัวด้วยแรงโน้มถ่วงของมาครอสไม่ทำงาน ก็ได้ใช้ท่อไอพ่นที่เสริมเข้าไปเองในการยกตัวขึ้นก่อนจะใช้โฟลด์ไดรฟ์ซึ่งใช้ในการวาร์ปข้ามมิติในการหนีไป แต่ผลจากความผิดพลาดในการคำนวน ทำให้มาครอสไปโผล่ที่ส่วนวงโคจรของดาวพลูโตโน่น แถมยังลากเมืองมาครอสซิตี้และยาน2ลำ เป็นชั้นเดดาลัสและชั้นพรอมเมเธอุสติดมาด้วย ที่แย่มากๆก็คือ เจ้าโฟลไดรฟ์มันหายไปไหนก็ไม่รู้ (เอาของชาวบ้านมาใช้ก็แบบนี้แล...) ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนที่ใช้เชื่อมพลังงานจากเครื่องกำเนิดพลังงานไปยังปืนหลัก เมื่อมันหายไปแล้ว มาครอสจึงใช้ปืนหลักไม่ได้ด้วย

ผลก็คือเหล่าวิศวกรของมาครอสก็ได้ทำการยกเครื่องมาครอสครั้งยิ่งใหญ่ โดยสร้างเมืองมาครอสซิตี้ขึ้นใหม่ในตัวมาครอสเองเพื่อเป็นที่อยู่ให้ผู้รอดตายจำนวนกว่าห้าหมื่นคน แม้ว่าประชาชนเหล่านี้ออกจะเป็นภาระสักหน่อย แต่ก็มีประโยชน์เพราะเวลาพวกเซ็นทราดีเจาะเข้ามาเจอสังคมมนุษย์ทีไรจะเกิดอาการสับสนทุกที ส่วนโฟลด์ไดรฟ์ที่หายไปนั้นก็ยังเหลือพลังงานที่ถูกเอาไปใช้สร้างระบบป้องกันพินพอยน์บาเรียซึ่งเป็นสนามพลังงานรูปจานขนาดเล็กสามแผ่นที่สามารถควบคุมให้แล่นไปตามรอบนอกของมาครอสเพื่อคอยรับการโจมตีของศัตรูได้ (แน่นอนว่าของมันก็พลาดกันมั่ง โดยผู้ควบคุมพินพ้อยน์บาเรียก็คือสามสาวตัวประกอบ คิม,แชมมี่และวาเนสซ่า)

เพื่อให้ยิงปืนหลักได้ จึงใช้วิธีเลื่อนตำแหน่งของโมดูลปืนหลักไปเชื่อมกับส่วนอื่นแทน โดยในโหมดนี้ มาครอสจะกลายเป็นหุ่นยนต์รูปร่างคล้ายมนุษย์ขนาดยักษ์โดยที่ยานเดดาลัสและพร็อมเมเธอุสที่เอามาเชื่อมไว้ด้วยจะเป็นแขนทั้งสองข้าง มาครอสจะเปลี่ยนกลับไปมาระหว่างสองร่างได้ โดยทั่วไปแล้วจะอยู่ในร่างยานรบมากกว่า เนื่องจากในช่วงแรกๆนั้น การแปลงร่างจะทำให้เกิดความเสียหายกับเมืองและประชาชนในมาครอสอย่างมาก ภายหลังจึงมีการวางผังเมืองใหม่ด้วย ในภายหลัง เจ้าหน้าที่มิสะ ฮายาเสะยังได้คิดการโจมตีที่เรียกว่า"เดดาลัสแอ็ทแทค" ซึ่งรวมกำลังของพินพ้อยน์บาเรียทั้งสามไว้ที่แขนขวา(ยานเดดาลัส)และพุ่งไปชกทะลุผนังของยานเป้าหมาย จากนั้นส่วนหน้าของเดดาลัสจะเปิดออกทำให้ฝูงหุ่นเดสทรอยด์และวาลคีรี่เข้าไปโจมตียานศัตรูจากภายในได้

เมื่อมาครอสกลับมาถึงโลกโดยใช้เวลาเกือบหนึ่งปี ปรากฏว่าทางUNต้องการใช้มาครอสในการดึงพวกเซ็นทราดีไปจากโลก ประชากรของมาครอสส่วนใหญ่ยังถูกบังคับให้อยู่บนยาน เนื่องจากที่ผ่านมานั้น สาเหตุการหายไปของมาครอสถูกปกปิดไว้เพื่อไม่ให้ผู้คนรู้ว่ากำลังมีสงครามกับมนุษย์ต่างดาว และต่อมา ระบบบาเรียร์แบบใหม่ของมาครอสที่ป้องกันได้รอบทิศทางก็ดันโอเวอร์โหลดทำให้แถบออนตาริโอ แคนาดา ราบเป็นหน้ากลอง มาครอสเลยโดนส่งกลับไปอวกาศอีกครั้ง แต่โลกก็โดนกองทัพเซ็นทราดีถล่มจนเละอยู่ดี ในตอนจบของสงครามอวกาศครั้งที่หนึ่งนี้ มาครอสได้ทะลวงเข้าไปในยานของโบดอลซ่าซึ่งเป็นยานธงของเซ็นทราดีและจัดการเร่งระดับของบาเรียร์จนโอเวอร์โหลดเพื่อทำลายยานโบดอลซ่า จากนั้น มาครอสที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักก็ตกลงบนโลกอีกครั้ง นับเป็นจุดจบอย่างเป็นทางการของสงครามอวกาศครั้งที่หนึ่ง ส่วนมาครอสซิตี้ก็ถูกสร้างขึ้นใหม่โดยรอบมาครอสอีกครั้ง

สองปีให้หลัง นักรบเซ็นทราดี คัมจิน "ผู้ฆ่าเพื่อน" ก็นำกองกำลังเข้าโจมตีมาครอสที่นิ่งอยู่กับทะเลสาบเพื่อเป็นการโจมตีทางจิตวิทยาต่อชาวโลก มาครอสสามารถรวมกำลังและลุกขึ้นมาปกป้องมาครอสซิตี้ได้ แต่ก็เสียยานเดดาลัสและปืนหลักไป นับเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของมาครอส

เดิมทีมีแผนการณ์ที่จะสร้างยานชั้นSDFลำที่สอง นั่นก็คือSDF-2 เมก้าโร้ด ซึ่งสร้างขึ้นในปี2003บนดวงจันทร์โดยจำลองมาจากมาครอสนั่นแล แต่เมื่อเกิดสงครามการก่อสร้างก็ได้หยุดชะงักไป จนเมื่อสงครามจบลง เมก้าโร้ดก็ถูกสร้างใหม่เป็นยานอาณานิคมสำหรับออกนอกระบบสุริยะลำแรก เมก้าโร้ดออกสู่อวกาศในปี2012(ยังมีอาวุธอยู่ แต่ไม่มีอานุภาพเท่าของมาครอส) โดยมีกัปตันมิสะ ฮายาเสะ อิชิโจ เป็นผู้บัญชาการ (ลำนี้อยู่ๆก็ขาดการติดต่อระหว่างสำรวจบริเวณใจกลางของกาแล็คซี่ในปี2016) ในปี2014 เมก้าโร้ด02 และ เมก้าโร้ด03ก็ออกสู่อวกาศ จากนั้นก็มีการส่งเมก้าโร้ดไปสู่อวกาศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเวลาต่อมา ยานชั้นเมก้าโร้ดก็ถูกแทนที่ด้วยยานชั้นนิวมาครอสในปี2030 ในช่วงเวลานี้ มีเมก้าโร้ดถูกส่งไปสู่อวกาศรวม30ลำ

สำหรับยานชั้นนิวมาครอสนั้น ประกอบด้วยสองหลักๆคือส่วนเมือง(City)และส่วนยานต่อสู้(Battle) ส่วนเมืองนั้นจะมีเกราะป้องกันที่สามารถเปิดปิดได้แบบฝาของหอย ส่วนยานต่อสู้นั้นจะสามารถแยกออกจากอีกสองส่วนได้ซึ่งส่วนแบทเทิลนี้มีคุณสมบัติคล้ายกับมาครอสมาก แต่จุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญก็คือปืนหลัก "มาครอสแคนน่อน"นั้นเป็นส่วนที่แยกออกมาจากตัวแบทเทิลและสามารถใช้งานเป็นยานแบบเดี่ยวๆได้ เวลาใช้งาน ยานแบทเทิลจะใช้มือถือมาครอสแคนน่อนเหมือนปืน จึงมีความแม่นยำและขอบเขตการยิงสูงกว่าของมาครอสดั้งเดิม UNยังได้สร้างยานแบทเทิลเดี่ยวๆเพื่อใช้ในการสู้รบโดยเฉพาะอีกต่างหาก ในขณะที่เมก้าโร้ดออกท่องอวกาศโดยมีแค่ยานคุ้มกันเป็นเพื่อนร่วมทางเท่านั้น นิวมาครอสกลับมีกองยานสนับสนุนซึ่งทำหน้าที่เป็นโรงงาน,แหล่งบันเทิง,ศูนย์วิจัย,ไร่นา,ศูนย์ฝึกทหารและรีสอร์ต ตามมาเพื่อให้นิวมาครอสสามารถปฏิบัติการได้ยาวนานกว่า

ในจำนวนยานชั้นนิวมาครอสทั้งหมด ลำที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ มาครอส7 (มีชื่อเล่นว่าThe Big M)ซึ่งอยู่ภายใต้การบัญชาการของกัปตันแม็กซิมิเลียน จีนัส อดีตมือหนึ่งจากสมัยสงครามอวกาศครั้งที่หนึ่ง ซึ่งส่วนแบทเทิล7นั้นถูกทำลายในตอนจบของสงครามวารอต้าในปี2046

สำหรับรูป สองรูปแรกก็คือSDF-1ในร่างหุ่น เวอร์ชั่นTVและหนังตามลำดับ ส่วนที่เหลือก็คือแบทเทิล7ในร่างหุ่น และแบทเทิล13 ซึ่งออกมาเป็นศัตรูในเกมMacross : Digital Mission VF-X2 (เครื่องPS1)





AB-01 ทรีด

ถ้าจะบอกว่ามันเป็นหุ่นยนต์ที่แข็งแกร่งที่สุดในเรื่องมอสปีด้าก็คงไม่ผิดนัก ชื่อของมันTREAD มาจาก TRans-Earth Deploymentซึ่งบอกได้ถึงหน้าที่ของมันในการช่วยเลกิออสในการลงสู่พื้นโลก การพัฒนาทรีดนั้นมาจากความล้มเหลวของปฏิบัติการยึดโลกคืนจากอินบิตครั้งแรก ซึ่งเลกิออสกว่าครึ่งถูกหุ่นยนต์ของอินบิตทำลายในขณะเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก ทรีดนั้นเดิมทีเป็นแค่บูสเตอร์เสริมของเลกิออสเพื่อให้สามารถหนีจากแรงดึงดูดของโลกได้ถ้าถูกโจมตีระหว่างเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ แต่เนื่องจากเวลาเลกิออสแปลงร่างเป็นอาร์มอโซลเยอร์แล้ว บูสเตอร์นี้จะกลายเป็นแค่ของเกะกะ นักวิจัยของโลกที่อยู่บนดาวอังคารจึงจัดการพัฒนาต่อกลายเป็นเครื่องบินเดี่ยวๆที่ใช้งานร่วมกับเลกิออสได้

ทรีดนั้นร่างเครื่องบินจะเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดที่ต้านลมและหนักมาก แต่เนื่องจากมีกำลังของไอพ่นมหาศาลจึงสามารถบินออกสู่อวกาศได้ด้วยตัวเอง ทั้งยังสามารถพาเลกิออสในโหมดอาร์มอไฟเตอร์ไปได้ด้วยโดยใช้การประกอบร่างเป็นบูสเตอร์ให้เลกิออส ทรีดในโหมดอาร์มอบอมเบอร์และอาร์มอไดฟเวอร์นั้นมีประสิทธิภาพที่ต่ำเพราะต้องใช้กำลังของไอพ่นในการขับเคลื่อนล้วนๆจึงมีความคล่องแคล่วที่ต่ำมาก แต่ในโหมดอาร์มอโซลเยอร์แล้ว ทรีดแทบจะเรียกได้ว่าเป็นหุ่นรบไร้เทียมทาน เพราะแม้จะมีความคล่องแคล่วต่ำอยู่แต่เกราะของทรีดนั้นหนามากจนแม้แต่พลาสม่าแคนน่อนของโกซูซึ่งเป็นหุ่นรบสุดยอดของอินบิตก็ยังไม่อาจสร้างความเสียหายได้แม้แต่น้อย ในขณะที่อาวุธหลักของทรีดคือพัลส์แคนน่อนแบบสามลำกล้องที่แขนทั้งสองข้างนั้นสามารถถล่มโกซูได้อย่างง่ายๆ ทรีดยังมีมิสไซล์หลากชนิดซึ่งรวมถึงแบบที่ใช้ทำลายสนามพลังของอินบิตได้ ในร่างอาร์มอบอมเบอร์ ทรีดยังใช้บีมกัน80มม.แบบเดียวกับที่เลกิออสใช้ได้ (เป็นแบบติดตั้งในตัว แต่จะใช้พัลส์แคนน่อนไม่ได้)

รูปของทรีดนี่เข้าใจว่าเจ้าของเว็บต้นฉบับแกลงสีเองน่ะครับ ใครมีรูปที่ดูดีกว่านี้ก็เอามาฝากหน่อยละกัน
Anime

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา