(Review) Mission Impossible : Ghost Protocol

อ่านก่อนนิดนึง



บทความนี้ คือบทความReview หนังในมุมมองของผมแค่คนเดียว ไม่ใช่มุมมองของคนส่วนมาก ฉะนั้นไม่แปลกถ้าท่านจะรู้สึก เอ๊ะทำไมนายไม่ชอบตรงนี้ เอ๊ะทำไมนายมาด่าเรื่องนี้ เอ๊ะนายบอกเรื่องนี้ดี นายเพี้ยนรึเปล่า อยากจะบอกว่า ผมเป็นแค่คนดูหนังคนนึง มิอาจสามารถเอาใจของคนทั่วโลกมารวมในคนเดียว แล้วประมวลคะแนนให้พอใจทุกคนได้ เพราะคนเราย่อมมีรสนิยมการดูหนังไม่เหมือนกันทุกคนครับ ฉะนั้น ถ้าอ่านReview ของผมแล้ว จงอย่าตัดสินทันที ขอให้พิสูจน์หนังเรื่องนั้นด้วยตัวท่านเอง ไม่แน่ หนังที่ผมบอกห่วย อาจเป็นหนังในใจท่านก็ได้ครับผม ด้วยความเคารพครับ



และขอความกรุณาอย่าSpoil หนังนะครับผม จะSpoil ก็ขอให้ใช้การซ่อนข้อความ



การติชมต่อผลงานของSoma สามารถเขียนได้ในกระทู้อย่างเปิดเผยและตรงๆอย่างไม่ต้องกังวล เข้ามาอ่านReview เล็กๆก่อนตัวเต็ม หรือถ้าใครที่เข้ามาอ่านธรรมดาแต่อยากติชม สามารถเข้าไปติได้ที่Facebook ของกระผมนะครับ



http://www.facebook.com/profile.php?id=100000512771067









Mission Impossible : Ghost Protocol








แนวหนัง : แอ็คชั่น ระทึกขวัญ



ตัวอย่าง








เรื่องย่อ



เมื่อสุดยอดสายลับแห่ง IMF อีธาน ฮันท์ และลูกทีมของเค้าปฏิบัติงานพลาดในรัสเซีย ส่งผลให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่จากฝีมือผู้ก่อการร้าย และอีธานกับหน่วย IMF ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ แต่เหล่าสมาชิก IMF ที่เหลือก็ได้รับปฏิบัติการณ์ Ghost Protocol เพื่อไปหยุดยั้งการปล่อยจรวดนิวเคลียร์ ก่อนที่มันจะกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ครั้งใหม่







มุมมองของ Soma



เอาจริงๆผมตามหนังตระกูลนี้มาทั้ง 3 ภาค และชื่นชอบภาค 1 ที่สุด (2 โม้เหม็นจนเป็นหนังแอ็คชั่ยดาษๆ 3คอนเซปดีแต่หลังๆค่อนข้างน่าผิดหวัง) จริงแอบหวังน้อยกับภาคที่ 4 แม้จะมีผู้กำกับที่ผ่านงานอนิเมชั่นอย่าง Incredibles มาแต่แกไม่เคยกำกับหนังใหญ่ก็เลยกังวล แต่เพราะคะแนนวิจารณ์เลยทำให้เปลี่ยนใจยอมไปดู ลองกับหนังซีรีย์ดูอีกซักครั้ง และนับเป็นการตัดสินใจที่ถูกครับ







Mission Impossible : Ghost Protocol (ต่อไปนี้จะขอเรียกสั้นๆว่า MI4 ) ได้เดินทางกลับไปหากลิ่นอายแบบหนังตระกูล MI อีกครั้ง คือการเน้นที่ภารกิจ การลุ้นที่ตัวภารกิจว่าตัวละครจะผ่านไปได้ไหม ในหนังจะเต็มไปด้วยการปฏิบัติภารกิจที่ล้วนเต็มไปด้วยความระทึกและสนุก และในทุกภารกิจจะเต็มไปด้วยความไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้นตลอด (เช่นผิดไปตามแผนที่วางไว้ ต้องแก้กันตั้งแต่ตอนนั้น) ซึ่งจะเกิดขึ้นตลอดทั้งเรื่องทำให้เรารู้สึกลุ้นกับภารกิจในหนังมากขึ้นว่าจะเป็นอย่างไรต่อ ซึ่งบอกตรงๆว่ามันได้อารมณ์ของ MI ภาคแรกอย่างชัดเจน สิ่งที่ชอบที่สุดคือภารกิจปีนตึกในดูไบที่ต้องขอบอกว่า คนครีเอทฉากนี้ทำได้สุดยอดมาก เพราะเต็มไปด้วยอารมณ์กดดันและลุ้นระทึกตลอดฉากนี้ และผมบอกได้เลยว่าฉากนี้ใน IMAX จะเต็มอรรถรสแบบสุดยอดของสุดยอดเลยทีเดียว



อีกทั้งหนังยังเต็มไปด้วยอุปกรณ์พิเศษมากมาย ที่ถ้าดูแล้วอาจจะรู้สึกว่าโม้เหม็น แต่เอาจริงๆผมคิดว่าอุปกรณ์พวกนี้มันคิดได้สร้างสรรค์นะ มันเป็นอุปกรณ์สำหรับสายลับจริงๆ มันทำให้เรารู้สึกสนุกเพิ่มไปกับหนังเวลาปฏิบัติภารกิจด้วย



ในแต่ล่ะภารกิจในหนังก็จะแทรกฉากแอ็คชั่นมาเป็นระยะๆ แม้อาจจะไม่ได้ดูหวือหวาอะไรแต่ก็ทำได้ดูสนุกเข้ากับฉากภารกิจต่างๆในหนังได้อย่างดี โดยเฉพาะฉากการไล่ล่ากลางพายุทรายที่ทำออกมาได้สนุกและระทึก แต่ที่ชอบคือการใส่มุกตลกในหนังเข้าไปเรื่อยๆ แม้จะไม่ใช่มุกแนวฮาก๊าก ปวดท้องไม่ไหวแล้ว แต่ล้วนเป็นมุกน่ารักๆจากพฤติกรรมเหล่าตัวละครที่ทำให้ลดความจริงจังของเรื่องกลายเป็นความอบอุ่นได้อย่างลงตัว







จุดที่ชอบคือหนังให้บทแก่ตัวละครในเรื่องได้ดีมาก เพราะจากภาคก่อนๆหนังจะเน้นไปที่ตัวของ อีธาน แต่ลูกทีมไม่ค่อยจะเน้นเท่าไรนัก ทำให้ลูกทีมภาคก่อนๆเหมือนตัวประกอบมีไปงั้นๆมากกว่า แต่ใน MI4 การกระจายบทและสร้างเสน่ห์ของคนในทีม IMF ขึ้นมา แต่ละคนมีเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลัง และทุกคนต่างมีเอกลักษณ์ให้คนดูจดจำได้ และทำให้ในหนังนั้นเราต่างลุ้นไปกับตัวละครได้อย่างง่ายดายทำให้อารมณ์ร่วมของการดูหนังเพิ่มขึ้นมากๆ (รวมถึงมุกตลกในหนังด้วย) ที่ผมชอบจริงๆคือ Simon Pegg ที่ออกมาทีไรก็ขโมยซีนไปซะทุกที และ Jeremy Renner ที่เล่นมุกตลกหน้าเครียดได้เข้าทางมากๆ (ฮา) แต่จากที่ดูสิ่งที่พบได้อย่างชัดเจนคือ หน้าที่เหี่ยวพอสมควรของทอม ครูซ = = (ก็ไม่แปลกนะแกอายุจะ 50 แล้ว)



แต่จะน่าเสียดายก็คือด้านบทของหนังที่ไม่ได้มีลูกเล่นอะไร พลิกแพลงหรือหักมุม (ยกเว้นเรื่องภารกิจ) ฉะนั้นใครหวังบทแบบหนังแอ็คชั่นประเทืองปัญญาอาจจะผิดหวังกันหน่อย แต่ที่น่าเสียดายมากคือบทของตัวร้ายในหนังที่ค่อนข้างจืดและไม่ค่อยมีการพูดถึง ทำให้เรารู้สึกว่าเจตนารมณ์ของตัวร้ายยังไม่ร้ายพอ และดูเหมือนตัวร้ายระดับล่างมากถ้าเทียบกับตัวร้ายจากหนัง 3 ภาคแรก กลายเป็นว่าตัวร้ายจะทำลายโลกเพื่อสันติภาพ แต่ไม่ได่มีเหตุจูงใจอะไรให้เห็น ทั้งที่ถ้าเราดูกันแล้วตัวร้ายภาคนี้แอบมีฝีมืออยู่พอสมควร และด้วยประการนี้ส่งผลให้ฉากไคล์แม็กซ์ช่วงท้ายไม่ทรงพลังเท่าไรนัก



อีกจุดที่ชอบคือการที่หนังแอบใส่มุกให้ระลึกถึงภาคเก่าๆในบางครั้ง โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่เชื่อว่าหลายๆคนจะรักและชอบตัวละครที่ชื่อ อีธาน ฮันท์ มากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน (อีธาน หัวใจแกหล่อมากกกกกกกกก)







สรุป : เป็นการเรียกฟอร์มคืนของ MI ได้อย่างดีมากๆ หนังสนุก ลุ้นระทึกไปกลับภารกิจที่ไม่คาดฝันตลอด ผสานกับฉากแอ็คชั่นและมุกตลกได้อย่างลงตัว ตัวละครในหนังมีเสน่ห์และน่าจดจำ อาจจะมีจุดผิดพลาดด้านของตัวร้ายที่จืดสนิท กับ บทที่เรียบง่าย ไปบ้างก็ตาม แต่สำหรับขอหนังแอ็คชั่นแนวปฏิบัติภารกิจ หรืออยากจะได้ MI แบบภาคแรก ถือว่า MI4 เป็นหนังที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ



ย้ำอยากดูเต็มอารมณ์ต้อง IMAX เพราะฉากปีนตึกที่ดูไบจะสุดยอดของสุดยอดและสุดยอดจริงๆ



เกรด A ครับ




-------------------------------------------------------------------



วิจารณ์พิเศษ The Dark Knight Rise Prologue







ใครตามข่าวมาจะรู้ครับว่า มีข่าวว่าจะมีการแปะฉากเปิดเรื่องของแบทแมนภาคที่3ของป๋าโนแลนอย่าง The Dark Knight Rise ในโรง IMAX ก่อนฉาย MI4 และในไทยก็จะฉายด้วย แต่เฉพาะที่โรง IMAX Paragon เท่านั้น อันผมได้ไปดูมาก็จะขอเล่าให้ฟังนะครับ



อันนี้เป็น Spoil ของฉากเปิดทั้งหมด ใครไม่อยากกดก็ไม่ต้องกดนา



[spoil]เปิดมาจะเป็นฉากตอนท้ายของ Dark Knight ที่โกด้อนกล่าวไว้อาลัยกับฮาร์วี่ย์ เดนส์ แล้วก็จะตัดไปสถานที่แห่งนึง โดยมีเครื่องบินและเจ้าหน้าที่ CIA ยืนอยู่ และรถคันนึงได้พานักโทษ3คน ซึ่งถูกคลุมหัวเอาไว้ โดยเจ้าหน้าที่ได้บอกว่า มี เบน มาด้วย ทำให้เจ้าหน้าที่ CIA เงียบและรีบพานักโทษขึ้นเครื่องบิน หลังจากที่ขึ้นเครื่องบิน เจ้าหน้าที่ CIA ก็เริ่มขู่นักโทษให้พูดถึงเรื่องราวของ เบน จนกระทั้งมีเสียงพูดขึ้นมา เจ้าหน้าที่จึงเดินไปเปิดผ้าคลุมหัว พบว่าคนที่พูดก็คือ เบน นั้นเอง ขณะที่เจ้าหน้าที่ CIA กำลังชะล่าใจกับการจับเบนได้ เบนได้พูดถึงแผนการของตนเองตอนนี้ คือการให้เครื่องบินตกและคนในนี้ตายทั้งหมด จากนั้นก็มีเครื่องบินอีกลำปรากฏอยู่เหนือเครื่องบินเจ้าหน้าที่ และมีคนลงมาเอาสายสลึงรัดกับเครื่องบินของตนและเจ้าหน้าที่ และดึงเครื่องบินขึ้นจนเครื่องบินปีกหักและตั้ง 90 องศา จากนั้นก็มีคนที่น่าจะเป็นลูกน้องเบนเข้ามายิงคนในเครื่องบินเจ้าหน้าที่ตายหมด และได้เอาศพของใครซักคนลงมาด้วย หลังจากนั้นเบนได้ทำการลากผู้ชายคนนึงขึ้นมาในเครื่องบินเจ้าหน้าที่ และทำการถ่ายเลือดกับศพ และพร้อมจะพาขึ้นไป โดยมีลูกน้องเบนคนนึงกำลังจะขึ้นไปด้วยแต่ถูกเค้าห้ามไว้เพรรราะจจจะเสียแผนการทั้งหมด ทำให้ลลลูกน้องเบนยิ้มและยอมตายเพื่อเจ้านาย ก่อนที่เบนจะพูด The Fire is Rise และเครื่องบินเจ้าหน้าที่ก็ตกลง และเครื่องบินของเบนก็ได้พาร่างเบนและคนที่เค้าชิงตัวมาติดไปกับเครื่องบินด้วย



หลังจากนั้นก็จะเป็นฉากที่ตัดมาจากหนัง คือ ฉากเบนเดินออกมาจากศาลากลางของเมือง ฉากแบทแมนเล็งปืน ฉากแบทวิงส์บินตามรถ ฉากเบนระเบิด ฉากเผยโฉมหน้าแคทวูแมน ฉากแบทแมนต่อยกับเบน และสุดท้ายจะเป็นฉากเบนถือหน้ากากที่หักครึ่งของแบทแมน[/spoil]



ความรู้สึกหลังชมขอบอกว่า ขนลุกมาก ไม่คิดว่าโนแลนกล้าที่จะทำฉากแอ็คชั่นการเอาเครื่องบินทำลายเครื่องบินกลางเวหาโดยที่ไม่ใช้ CG เลยได้ขนาดนี้ บอกได้เลยคนที่กล้าทำแบบนี้มันต้องบ้าสุดๆจริงๆ และฉากเปิดตัวเบนก็ทำได้น่าเกรงขามดี ทำให้ลืมเวอร์ชั่น Batman & Robin จนหมดสิ้น และฉากตอนท้ายที่ตัดบางส่วนจากหนังมาพร้อมบรรเลงกับ Theme Dark Knight ทำเอาผมขนลุกและอยากให้มันฉายพรุ่งนี้เลยชะมัด = =



ฉะนั้นใครจะไปดู MI4 แนะนำว่าดู IMAX เลยครับ เพราะนอกจากจะได้ประสบการณ์ใน MI4 แบบเต็มรสแล้ว ฉากเปิด Dark Knight Rise ก็สุดยอดจนทำให้คุณรู้สึกคุ้มค่าอย่างแน่นอน



สุดท้ายนี้ก็ขอ ลาล่ะ555
Miscellaneous

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา