[Story] Final Fantasy XI : The Background Stories (ภาษาไทย)

Final Fantasy XI the stories...



แปล เรียบเรียง และดัดแปลงจาก http://stormclan.com/machina/community/viewtopic.php?t=995

แปลโดย Dr.Cid

ปล. อ่านก่อนเล่นจะทำให้ทำ Quest, Mission สนุก เข้าใจง่ายขึ้นมากเลยครับ ทั้ง 3 เมืองและ Zilart เนื้อหาส่วนต้นยังรวมไปถึง Promathia และที่มาของ Tavnazia อีกด้วย



Chapters list

1. ตำนาน

2. ความจริง

3. ยุคสมัยแห่งอสุรกาย

4. ยุคสมัยแห่งเวทยศาสตร์

5. ยุคสมัยแห่งพลัง

6. ยุคสมัยแห่งกลศาสตร์

7. ภารกิจแดนเหนือ

8. จัทรคราส

9. ศึกชิงแดนเหนือ

10. การกำเนิดของจูโน่

11. สงครามคริสตัล

12. ยุคแห่งนักผจญภัย



1. ตำนาน...

นานแสนนานมาแล้ว ท่ามกลางความมืดมิดของจักรวาลอันว่างเปล่า มหาศิลาอันมีจิตวิญญาณและความนึกคิดได้ถือกำเนิดขึ้น... มหาศิลาได้ปัดเป่าความมืดมิดและให้กำเนิดเหล่าทวยเทพผู้ครองอำนาจอันไร้ขีดจำกัด ก่อนที่เหล่าทวยเทพจะได้เสกสร้างดินแดนแห่งสวนสรรค์นาม "วานาดีล" และเสวยสุขกันอย่างสงบจนกระทั่งถึงกาลเวลาที่จะต้องเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์ ก่อนนั้นเองที่เหล่าทวยเทพได้ให้กำเนิดทายาทที่ได้สร้างอารยธรรมของพวกเขาเองในเวลาต่อมา... พวกเขาเหล่านั้นท่องเที่ยวไปทั่วผืนฟ้า สกัดสินแร่จากกรวดดิน และพลิกฟื้นผืนดินอันว่างเปล่าให้กลายเป็นสีเขียวขจีไปทั่วแดน และพวกเขาเหล่านี้ก็ถูกขนานนามว่า "แอนเชียน" (Ancients) ในเวลาต่อมา... คราวเคราะห์ได้มาถึง เมื่อเหล่าแอนเชียนเกิดความทะเยอทะยานที่จะกลับไปสู่ดินแดนของทวยเทพผู้ให้กำเนิด พวกเขาสืบแสวงหาหนทางสู่ประตูสวรรค์และมุ่งจะเปิดมัน... ผู้เฝ้าประตูสวรรค์เมื่อมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็พลันบันดาลโทสะในความโอหังทะยานอยากของเหล่าแอนเชียนจึงได้สำแดงอิทธิฤทธิ์สาปส่งให้บ้านเมืองและอารยธรรมทั้งหมดของแอนเชียนพังพินาศและจมลงสู่ก้นทะเลลึก... ไม่นานหลังจากนั้นเองที่ "อัลทาน่า" เทวีแห่งชีวิตและการสร้างสรรค์ ได้ตื่นขึ้นจากการหลับไหลและได้เห็นเศษซากปรักหักพัก ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นวานาดีลอันงดงาม นางบันดาลเกิดความรู้สึกซึ่งน้อยนักที่ทวยเทพองค์ใดจะได้มีนั่นคือ... "ความโศกเศร้า"... เทวีอัลทาน่าได้หลั่งน้ำตาด้วยความอาลัยในโลกที่นางได้เคยรังสรรค์ขึ้น... หยาดน้ำตาของนางได้ไหลรินลงสู่ผืนธุลีและชำระล้างความเสียหายทั้งมวลสิ้นไป... และหยาดน้ำตาห้าหยดสุดท้ายของนางที่ได้สัมผัสผืนดินนั้นก็ได้ให้กำเนิดชนทั้งห้าเผ่าผู้อาศัยในวานาดีลในกาลต่อมา อันได้แก่ ฮิวม์(มนุษย์), เอลวาน, ทารุทารุ, มิธรา และ กัลก้า ซึ่งแม้จะมีความแตกต่างกันไปตามชาติพันธ์แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็รักในความสงบสุขเช่นเดียวกับผู้ให้กำเนิด... ด้วยความโศกเศร้าที่ยังคงอยู่เทวีอัลทาน่าจึงได้จากไปอีกครา และปล่อยให้ดินแดนแห่งวานาดีลค่อยๆกลับเติบโตขึ้นใหม่อีกครั้งด้วยความผาสุข...



แต่เรื่องราวก็ยังมิได้จบเพียงเท่านี้...



ยังมีเทพอีกองค์หนึ่งซึ่งได้ตื่นจากนิทรารมณ์ขึ้นพร้อมกันและแฝงเร้นกายเฝ้ามองการกระทำทั้งหมดของเทวีอัลทาน่า... "โพรมาเธีย" มหาเทพเห่งสนธยา ซึ่งพิโรธยิ่งนักเมื่อได้เห็นความเมตตาของเทวีอัลทาน่าที่มีต่อเหล่าทายาทผู้โอหัง จึงได้สาปส่งให้ชาติพันธ์ทั้งห้านั้นมีความชั่วร้ายในสันดานที่ติดตัวไปชั่วกาล อันได้แก่... ความยะโสของเอลวานน์... ความริษยาของมวลมนุษย์... ความเห็นแก่ตัวของมิธรา... ความขลาดเขลาของทารุ... และความกราดเกรี้ยวของกัลก้า... ด้วยหมายจะให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธ์จนมิอาจเกิดความสงบสุขให้ได้บังอาจริคิดเปิดประตูสวรรค์อีกครา... แต่เพียงเท่านั้นยังมิสาสมใจ องค์เทพโพรมาเทียยังได้หยดโลหิตหกหยาดของตนลงสู่ผืนดินแห่งวานาดีลก่อให้เกิดเผ่าปีศาจทั้งหก (อันได้แก่ Orc, Yagudo, Quadav, Antican, Gigas และ Sahagin ที่เหลือแท้จริงแล้วจึงไม่นับเป็น Children of Promathia) ซึ่งจะคอยสร้างความหวาดกลัวและความทุกข์ยากให้กับทุกชีวิตในวานาดีลสืบไป เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าพวกมันเหล่านั้นจะไม่สามารถริอ่านเปิดประตูสวรรค์ได้อีกตลอดไป...



อย่างไรก็ตาม... ยังคงมีเรื่องสุดท้ายที่ยังคงเล่ากล่าวขาน...



ขณะที่เทวีอัลทาน่านั้นโบกปีกโผบินสู่ห้วงแห่งความเสรี... แต่โพรมาเธียนั้นเล่ากลับถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่ตรวน... กล่าวกันว่าตรวนเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่โพรมาเธียสร้างขึ้นเพื่อจองจำตนเอง... เรื่องเล่าขานนี้เป็นความจริงหรืออย่างไร? และหากเป็นความจริง... เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น...? มิมีผู้ใดล่วงรู้...



2. ความจริง...

ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของวานาดีลที่ได้บันทึกสืบทอดกันมานั้นออกจะต่างจากนิทานปรำปราที่เล่าขานกันอยู่บ้าง แม้ไม่มีผู้ใดทราบช่วงเวลาแน่ชัด แต่ก่อนที่เผ่าพันธ์ทั้งห้าในปัจจุบันจะถือกำเนิดบนวานาดีลนั้น พิภพแห่งนี้ถูกครอบครองด้วยชนสองเผ่าพันธ์ใหญ่ หนึ่งคือ คูลู (Kuluu) ผู้ปรับตัวเข้ากับธรรมชาติและอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน สงบและเรียบง่าย ชาวคูลูได้ก่อตั้งเมืองหลวงขึ้นสามแห่ง หนึ่งนั้นอยู่บนผืนที่ราบกว้างใหญ่ทางตอนใต้นามว่าซารูทาบารูทา (Sarutabaruta) (หรือที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันคือซากปรักแห่งโฮรูโตโต (Horutoto Ruin)) อีกหนึ่งนั้นอยู่บนเทือกเขาทางตอนเหนือซึ่งในปัจจุบันเหลือเพียงร่องรอยแห่งการถูกทำลายที่รู้จักกันในนามของทุ่งน้ำแข็งบอซดีน (Beaucedine Glacier) และแห่งสุดท้ายนั้นคืออารามหลวงแห่งอูกาเลปิ (Temple of Uggalepih) ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางป่าลึกแห่งโยฮ์ธ (Yhoator Jungle) เผ่าพันธ์ใหญ่อีกเผ่าพันธ์หนึ่งนั้นได้แก่ชนชาวซีลาร์ท (Zilart) ซึ่งแม้จะมีจำนวนไม่มากนัก แต่กลับเปี่ยมล้นด้วยพลังอำนาจอันแฝงเร้นอยู่ จนพูดได้ว่าแม้ชาวคูลูที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่อาจเทียบพลังได้กับชาวซีลาร์ทที่อ่อนแอที่สุดได้



นอกจากสองเผ่าพันธ์ใหญ่ดังกล่าวแล้ว ยังมีสตรีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวนเพียงน้อยนิดอันถูกขนานนามว่า ดอวน์เมเดน (Dawnmaidens สตรีแห่งอุษา) พวกนางเป็นผู้ที่ถือว่ามีสัมพันธ์และสามารถติดต่อกับเหล่าทวยเทพได้โดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเทวีอัลทาน่า และได้รับพลังอำนาจจากผู้เฝ้าประตูสวรรค์เพื่อให้สามารถเปิดประตูสวรรค์ได้ตามปรารถนา



ชาวซิลาร์ทนั้น...ก็เป็นเช่นเดียวกับผู้เปี่ยมอำนาจทั้งมวล... ย่อมแสวงหาพลังอำนาจเพิ่มเติมอย่างไม่หยุดยั้ง...

ภายใต้คำสั่งของสองผู้นำ เอลด์นาช (Eald'narche) และคามลานอวท์ (Kam'lanaut) ซิลาร์ทเริ่มเริ่มรุกไปทั่วดินแดนจรดปลายฟ้าเพื่อแสวงหาพลังอำนาจแห่งทวยเทพและหนทางสู่สวรรค์ พวกเขาใช้กำลังบังคับให้ชาวคูลูตลอดจนดอวน์เมเดนเข้าร่วมแผนการนั้น ชาวซิลาร์ทเริ่มแผนการก่อสร้างพาหนะขนาดมหึมาเพื่อบรรลุแผนการสู่สวรรค์นามว่า "ทูเลีย" (Tu'lia) ซึ่งเป็นเสมืองเมืองหลวงขนาดใหญ่ที่สามารถลอยอยู่บนท้องฟ้าได้เพื่อใช้เป็นฐานที่มั่น และได้สร้าง "เฟย์ยิน" (Fei'yin) ปราสาทขนาดยักษ์บนพื้นโลกซึ่งเปรียบเหมือนหอบังคับการภาคพื้นดิน นอกจากนี้แล้วยังได้สร้างกำแพงหินขนาดใหญ่ทอดขวางเป็นทางยาวไปรอบโลกเพื่อรวบรวมพลังงานอันไร้ขีดจำกัด ซึ่งยังคงเหลือเป็นอนุสรณ์ในปัจจุบันที่รู้จักกันดีในนามของแท่งศิลาทั้งสาม (Crag of Holla, Mea และ Dem) และกระดูกสันหลังมังกร (Drogaroga's spine) แท่งหินเหล่านี้ได้ดูดซับพลังงานจากทั่วดินแดนวานาดีลและส่งไปยังศูนย์กลางที่เปรียบเสมือนเตาพลังงานหลักที่ถูกสร้างไว้บนเกาะคูฟิม (Qufim island) ซึ่งส่งต่อพลังงานไปค้ำจุนให้ทูเลียสามารถลอยอยู่บนท้องฟ้าได้ และในท้ายที่สุดประตูสู่สวรรค์ก็ได้ถูกสร้างขึ้นภายใต้ชื่อของ โรเมฟ (Ro'Maeve)



และด้วยอำนาจวิเศษของดอว์นเมเดนที่สามารถเปิดประตูสวรรค์ ในที่สุดหนทางสู่สวรรค์ก็เข้ามาใกล้ชาวซีลาทเพียงแค่เอื้อมมือ...



ไม่แตกต่างจากตำนานที่เล่าขาน พลังมหาศาลจากการเปิดประตูสวรรค์นั้นเกินกว่าที่ซิลาร์ทจะควบคุมได้ ผู้เฝ้าประตูสวรรค์ได้ส่งเหล่าดอวน์เมเดนกลับลงยังผืนโลกพร้อมกับชาวคูลู แต่สำหรับเหล่าซิลาร์ทผู้ทะยานอยากแล้วไม่มีความปราณีใดๆ พลังงานอันมหาศาลได้ท้นกลับมายังเฟย์ยินและเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่เกือบจะทำให้ทั้งแผ่นดินแหลกเป็นจุล พลังงานยังได้ย้อนกลับไปตามกระดูกมังกรและทำให้เกิดการทำลายไปทั่วผืนแผ่นดิน ผืนดินทางตอนเหนือซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นดินแดนสีเขียวอันอุดมกลับกลายเป็นทุ่งร้างไร้ชีวิตภายในชั่วพริบตา ส่วนเหล่าคูลูก็ได้รับผลกระทบจากพลังงานนั้นและค่อยๆกลายพันธ์ไปเป็นสิ่งมีชีวิตแคระสีเขียวที่เรียกกันต่อมาว่าทอนเบรี่ (Tonberry) ส่วนดอวน์เมเดนทั้งหมดนั้นสูญเสียกายเนื้อไปสิ้นจากการระเบิดคงเหลือไว้เพียงจิตวิญญาณซึ่งยังได้รับความคุ้มครองจากผู้เฝ้าประตูสวรรค์ให้ยังสามารถดำรงอยู่และรอคอยการจุติใหม่อีกครั้ง



ซิลาร์ท...ผู้ซึ่งความทะเยอะทะยานนับสิบนับร้อยปีได้พังทลายลงในชั่วข้ามคืน คงเหลือรอดอยู่เพียงหยิบมือและได้เกิดความสำนึกในความผิดพลาดจึงพยายามที่จะนำโลกที่ยังคงเหลือกลับสู่ความสงบ เหลือเพียงแต่ชะตากรรมของสองผู้นำเอลด์นาชและคามลานอว์ทที่ยังมิอาจทราบชัด...

Final Fantasy Xi Final Fantasy Xiv Games Game Online Final Fantasy

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา