นี่แหล่ะ! ชีวิตผม (บทที่ 2 ตอนที่ 3)

บันทึกระหว่างเขียน






หลังจากดองมาได้ 3 เดือนก็น่าจะถึงเวลาแต่งตอนต่อไปได้ซะทีก่อนที่จะลืมเลือนไปจริงๆ ยอมรับครับว่าเริ่มนึกเรื่องราวในอดีตได้ยากขึ้นเรื่อยๆ หรืออาจจะเพราะเหตุการณ์รอบตัวของผมในปัจจุบันมันถาโถมเข้ามามากซะจนทำให้ผมเริ่มลืมเรื่องในอดีตและสิ่งดีๆ ไปเรื่อยๆ(แต่ไหงเรื่องร้ายๆ ก็ยังหลอกหลอนอยู่เนี่ย) เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะรีบตัดบทจบให้เร็วที่สุดละกันนะครับ อย่างน้อยถ้ามันเป็นเหตุการณ์ที่ใกล้ปัจจุบันขึ้นมาหน่อยความทรงจำก็น่าจะยังพอมีเหลืออยู่เยอะบ้างหล่ะน่า

สรุปง่ายๆ ก็คือผมจะจบเรื่องราวของม.ต้นไว้ที่ตอนนี้และจะขึ้นช่วงของปวช. เป็นบทที่ 3 ในตอนต่อไป ยังไงขาประจำก็ขอให้ติดตามต่อไปเรื่อยๆ นะครับ ขาจรก็เข้ามาอ่านและแสดงความเห็นบ้างก็ดีนะครับผมจะได้มีกำลังใจและจะได้แต่งได้เร็วขึ้น ไม่ดองเหมือนคอมิคแบบบางสนพ. อิๆ

/me สำหรับคนที่อยากอ่านตั้งแต่ตอนแรกจนถึงปัจจุบัน ก็ให้ไปรื้อค้นได้ที่นี้ครับ http://viva.bioice.com/blackdrago/SagaHis.txt ยังไงก็ต้องขอบคุณแฟนพันธุ์แท้ฟิคของผม นาย BlackDrago มานะที่นี้ด้วยนะครับ^^b







********************








ตอนที่ 3: ผมเติบโตมากับสิ่งเหล่านี้




พอนึกเรื่องราวในตอนยังเด็กทีไร ผมก็มักจะนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเสมอว่า เคยเจออะไรมาบ้าง? ช่วงไหนมีความสุขหรือมีความทุกข์บ้าง? ทั้งนี้ก็จะรวมไปถึงอะไรที่ผมทำแล้วชอบด้วย แน่นอนส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวกับโทรทัศน์กับวิทยุ

โทรทัศน์ในสมัยผมนั้นยังเป็นขาว-ดำอยู่ ยังจำได้ดีว่าเวลาดูอะไรก็แล้วแต่ต้องอาศัยจินตนาการอันแรงกล้าในการคิดสีสันให้กับเสื้อผ้าและสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏอยู่บนจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ นั้น ก่อนที่ผมจะย้ายบ้านมาไม่กี่ปีญาติผมที่อยู่ในซอยเขามีเงินก็เลยไปถอยทีวีสีมา ในยุคนั้นถือว่าเป็นอะไรที่ฮือฮาและอลังการฟู่ฟ่ากันน่าดู ผมก็คนนึงหล่ะที่อดไม่ได้ที่จะหาเวลาแว๊บไปดูโทรทัศน์บ้านเขาเป็นประจำ(สียังไงซะก็ย่อมดีกว่าขาว-ดำหล่ะนะ หุๆ)

สิ่งที่มาคู่กับทีวีสีแต่อลังการ(และเกินความจำเป็น)ยิ่งกว่าก็คือเครื่องเล่นวีดีโอหรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันติดปากว่า "วีดีโอ" เฉยๆ นี่แหล่ะ บ้านญาติผมก็ชอบเหลือเกินที่จะไปเช่าหนังจีนชุดกับหนังฝรั่งมา เรื่องที่ยังจำได้ว่าได้ดูจากบ้านหลังนี้ถ้าเป็นหนังจีนก็ ชอลิ้วเฮียง ถล่มวังค้างคาว(เป็นภาคที่ผมว่าสุดยอดที่สุดแล้วที่ปัจจุบันก็ยังหาดูไม่ได้ซะที), อุ้ยเสี่ยวป้อ(เวอร์ชั่นหลิวเต๋อหัวกับเหลียงเฉาเหว่ย ตอนนี้หาซื้อได้เป็นของบ. CVD ครับ) หนังฝรั่งส่วนใหญ่จะเป็นหนังผีซะมากกว่า เช่น Friday the 13th(ศุกร์ที่ 13 เป็นหนังผีที่ผมชอบที่สุดแล้ว ปัจจุบันมีครบทั้ง 10 ภาค+Freddy vs. Jason เลย), Halloween(เรื่องนี้ไม่รู้ดูไปกี่ภาคจำไม่ค่อยได้ซะแล้ว) แนวอื่นก็ Batman, Robocop, Terminator 2

วิทยุที่บ้านผมตอนนั้นจะเป็นแบบใส่เทปได้ 2 ด้าน(ซ้ายมือ-เล่น ขวามือ-อัด) ซึ่งเครื่องนี้อีกนั่นแหล่ะที่ผมใช้ในการอัดเพลงจากรายการโลกของเด็ก รายการเพลงอนิเมรายการแรกและรายการเดียวของไทยที่นำเสนอโดยน้าต๋อย เซ็มเบ้ที่พวกเรารู้จักกันดี

ทางช่อง 9 สมัยผมย้ายมาอยู่บางปะกอก(ที่อยู่ปัจจุบัน) วิทยุเครื่องนี้สำหรับผมถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากๆ เลยเพราะเป็นเครื่องที่ซื้อมาสมัยที่ผมเพิ่งเกิดเลย(แม่ผมเล่าให้ฟัง) รู้สึกจะเป็นยี่ห้อ Sony น่ะครับถือว่ามีขนาดใหญ่มากทีเดียวแต่ใช้ทนสุดๆ เลย เคยผ่านการซ่อมมาแค่ครั้งเดียวเองถ้านับการใช้งานเกือบ 20 ปี(ปัจจุบันเครื่องนี้ให้พี่สาวไปแล้ว ป่านนี้จะเป็นไงบ้างน้อ?) เพลงถือว่าเป็นอีกสิ่งนึงที่ผมเติบโตควบคู่กันมา ยิ่งโตขึ้นผมก็ยิ่งชื่นชอบเพลง สำหรับผมแล้วไม่ได้จำกัดหรอกนะครับว่าจะต้องเป็นเพลงชาติใดภาษาใด ถ้าฟังแล้วชอบก็คือชอบนั่นแหล่ะครับแม้แต่ดนตรีที่ฟังแล้วเจ๋งก็ไม่วายที่จะชอบเช่นกัน

ถ้ายังจำกันได้กับตอนแรกๆ ที่ผมเคยเกริ่นไว้ว่า ผมเติบโตมากับเสียงเพลงเป็นเด็กตู้เพลงตอนยังเด็ก เหตุเพราะครอบครัวผมชื่นชอบเพลงมากๆ เลยก็ว่าได้ เพลงจีนจะมีพี่ชายกับพ่อผมที่ฟัง...จะมีอยู่ม้วนนึงเป็นรวมเพลงหนังจีนชุดที่ผมถือว่าสุดๆ แล้ว เป็นอะไรที่อมตะเอามากๆ ในม้วนนี้จะรวมเพลงจาก เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้, คมเฉือนคม, กระบี่ไร้เทียมทาน, จอมโจรจอมใจ และอีกหลายเรื่องที่ผมจำไม่ได้แล้ว เพลงไทยก็จะเป็นของพี่ชายกับพี่สาวที่การฟังจะมีสไตล์ใกล้เคียงกันมาก พี่ชายผมจะชอบฟัง อริสมันต์, เรนโบว์(ต้อม เรนโบว์), นูโว ส่วนพี่สาวผมก็จะฟังเรนโบว์แต่ซื้อคนละชุดกัน สุดท้ายก็เพลงสากลตอนนั้นจะได้ฟังแนวดิสโก้ที่เปิดตามเธคซะมากกว่า แน่นอนว่าเป็นของพี่ชายผมที่ซื้อมา...เหตุนี้กระมังที่ทำให้ผมชอบเพลงสากลแนวสนุกๆ อย่าง No Coke, Sode Macom มาก ถึงแม้ว่าแนวนี้จะหายไปจากตลาดเพลงสากลแล้วก็ตามที



เปลี่ยนเรื่องมาพูดถึงเพื่อนช่วงม.2-3 กันบ้าง ที่ซี้สุดๆ ก็คงจะหนีไม่พ้น "ประเสริฐ" เพื่อนรักที่ทำให้ผมรู้จักอะไรหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็น คำผวน, การแปลงเพลงที่ประหลาดซะเหลือเกิน, ร้านเกมส์ในความทรงจำ(รู้จัก Street Fighter II, Final Fantasy III ก็ร้านแถวๆ ยานนาเวศนี่แหล่ะ) ถึงจะว่าซี้มากก็เถอะเวลาเรียนเนี่ยผมจะนั่งหน้ากับประเสริฐตลอด แต่ทว่า! ผมจะนิสัยเสียที่จะชอบคุยเวลาเรียนเสมอโดยเฉพาะวิชาที่ผมอ่อนที่สุดนั่นก็คือ "คณิตศาสตร์" และผมอีกนั่นแหล่ะที่ไม่วายจะพาเพื่อนเสียการเรียนไปอีกคนด้วยการหาเรื่องคุยกับเขาไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เพื่อนก็ช่างแสนดีเหลือเกินด้วยการไม่สนใจผม ปล่อยให้ผมบ้าน้ำลายไปอยู่คนเดียว เวลาโดนอาจารย์ว่าผมก็โดนคนเดียวอีกนั่นแหล่ะ เพื่อนไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยจริงๆ นะ(เป็นอย่างนี้น่ะถูกแล้ว น้องๆ อย่าเลียนแบบนะครับ)

ตอนม.3 ก็เป็นอีกปีนึงที่ผมได้เจอกับร. สาวที่ผมหลงไหลจากม.1 ที่เคยเรียนด้วยกันและได้แยกย้ายกันตอนม.2 ต้องบอกก่อนว่าที่ยานนาเวศเนี่ยมัธยมต้นจะมีการเลือกสาขาวิชาทั้งหมด 2 ครั้งคือ ม.1 กับม.2 ซึ่งถ้าม.2 เลือกสาขาผิดหล่ะก็คุณจะต้องอดทนไปถึง 2 ปีเลย สำหรับผมหลังจากที่ผิดหวังกับสาขาวิชาฟ้อนรำตอนม.1 แล้วก็เลยหันมาดูความชื่นชอบของตัวเองอีกครั้ง ในที่สุดก็จับพลัดจับผลูมาลงเอยที่สาขาศิลปะจนได้ ตอนนั้นถือว่าชอบมากเลยนะครับลายเส้นที่ผมชอบวาดที่สุดก็คงหนีไม่พ้น Son Goku(ตอนนั้นติดเรียกว่า "หงอคง" และก็เลยติดมาจนปัจจุบัน) วาดทรงผมชี้โด่ชี้เด่ ลำตัว-แขน-ขาจะต้องมีกล้ามเป็นมัดเป็นข้อตลอด มีปลอกแขนด้วย(สรุปคือลอกมาเกือบทั้งดุ้นเลย) ตอนนั้นสนุกมากมีเทอมนึงได้เรียนวิชาวาดรูปคนเหมือนด้วย(ก็รูปคนนั่นแหล่ะ) ดูยากนะแต่ก็วาดออกมาได้ไม่เลวนัก อาจารย์ศิลปะท่านก็ใจดีเหลือเกินโดยเฉพาะกับผมที่มักจะโดนเพื่อนในห้องกลั่นแกล้งเป็นประจำ(สมัยม.2-3 เนี่ยผมจะโดนเพื่อนในห้องแกล้งกันตลอด หลายคนเลยหล่ะ)

ยังจำเหตุการณ์นึงได้เป็นอย่างดีเลย ตอนนั้นเรียนวิชาศิลปะอยู่ ผมซื้อทีวีแมกกาซีนมาเพราะอยากจะเอามาเป็นแบบในการวาด(ตอนนั้นจะมีให้วาดตัวการ์ตูนอะไรก็ได้ด้วย) เพื่อนผมที่อยู่ในกลุ่มหัวโจกคนนึงได้เอาทีวีแมกของผมไปซ่อน ผมก็โมโหว่ามันหายไปไหนซึ่งผมก็รู้แล้วหล่ะว่าใครเอาไป? สรุปคือก็ยังไม่รู้ว่ามันเอาไปซ่อนไว้ไหน ไปๆ มาๆ ผมก็ร้องไห้ซะงั้นเลยในใจก็นึกว่ามันคงไม่คืนเป็นแน่ อาจารย์ท่านก็มาปลอบและก็พูดขึ้นมาว่า "ใครเอาหนังสือของเพื่อนไปซ่อนก็เอามาคืนเถอะ อย่าแกล้งกันเลย" เชื่อไหมครับว่าซักพักนึงเพื่อนคนนั้นก็เอาหนังสือผมมาคืนแต่โดยดี ผมทั้งดีใจที่ได้ของคืนและรู้สึกดีกับอาจารย์และวิชานี้มากๆ เลย

เกือบลืมพูดถึงเรื่องสาวเลย ช่วงนั้นผมก็มีเกริ่นเรื่องร.ที่ผมแอบชอบให้ประเสริฐฟังเหมือนกัน ตอนแรกก็ไม่มีอะไรหรอกแต่มีครั้งนึงที่ผมมารู้ว่าวิชาพระพุทธศาสนาที่ผมเรียนนั้นเป็นห้องที่อยู่ติดกับร.ที่เรียนอยู่คณะคณิต-วิทย์(ไม่ก็คณิต-อังกฤษนี่แหล่ะ) พอประเสริฐและเพื่อนๆ รู้ก็จะมีการแซวเสียงดังอยู่หน้าห้องบ้างหล่ะ แกล้งผลักผมให้หน้าทิ่มไปในห้องที่ร.เรียนอยู่บ้างหล่ะ แหม...แกล้งแบบนี้นี่ผมก็เขินอายเป็นนะครับ(แต่ก็แอบรู้สึกดีๆ อยู่ในใจ) แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าไปกว่านั้นจนกระทั่งผมเรียนจบจากรั้วดอกราชพฤกษ์ที่น่ารำลึกถึงแห่งนี้
Fiction

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา