นี่แหล่ะ! ชีวิตผม (บทที่ 3 ตอนที่ 1)

บันทึกระหว่างเขียน






หลังจากดองเค็มมา 2 เดือนกว่า(โพสต์ตอนล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 48) ก็น่าจะสมควรแก่เวลาโพสต์ตอนต่อไปเสียที ยิ่งได้เห็นเรื่องของคุณแมงปอบินเล่น(เปลี่ยนชื่อบ่อยไปนิด แต่ผมชอบชื่อนี้ของคุณสุดแล้วหล่ะ...ขอเรียกชื่อนี้ละกันนะครับ)แล้วทำให้รู้สึกว่าเราต้องรีบเข็น(และขุน)เรื่องราวของตัวเองออกมาบ้างสินะ

จากการที่ตัดจบเรื่องราวช่วงมัธยมต้นไปเรียบร้อยแล้วก็เพิ่งมานึกออกว่า ยังมีเรื่องที่อยากจะบอกเล่าให้ได้ทราบกันอยู่อีกเล็กน้อย ผมเลยขอยกยอดมาไว้ช่วงต้นของตอนนี้นะครับหวังว่าคงไม่ว่ากัน ส่วนคำว่า Autobiography นั้นยอมรับว่าเพิ่งรู้เหมือนกันว่าต้องเรียกแบบนี้(ประวัติชีวิตของคนๆ นึงที่แต่งโดยคนๆ นั้นเอง) แต่ต้องเข้าใจนะว่าใน GG มีหัวข้อ Fiction ที่ใกล้เคียงที่สุดแล้วน่ะ ยังไงก็ต้องขอบใจน้อง Kruze สำหรับศัพท์และขอบคุณ Line สำหรับคำว่า Fore Hand ที่ตอนแรกหลงเข้าใจเป็นว่า For Hand หรือ Four Hand อยู่ตั้งนาน(เพื่อมือ, สี่มือ คิดไปได้เรา...)

/me หมวด Fiction ช่างเงียบเหงาดีแท้~~~







********************






บทที่ 3


ตอนที่ 1: กายผู้ใหญ่แต่ใจเด็ก








หลังเรียนจบม.3 ที่ยานนาเวศแล้วก็ถึงเวลามุ่งหน้าหาที่เรียนใหม่ โดยจุดมุ่งหมายก็คือพาณิชยการเชตุพน ตัวย่อว่า "พ.ต."(บางคนอุตริอ่านเป็น พ่อเต่าบ้างหล่ะ, พ่อตายบ้างหล่ะ, พระเต่าบ้างหล่ะ...เฮ้อ! ทำไปได้ เหตุผลหลายประการที่ทำให้ผมต้องมาเรียนที่นี่เพราะใกล้บ้าน, ลูกพี่ลูกน้องเรียนอยู่ที่นี่, เรียนสายพาณิชย์หางานง่ายกว่าสายสามัญเป็นไหนๆ(อันนี้ผมเห็นด้วยมากเลย) และที่สำคัญสายพาณิชย์ยากน้อยกว่าสายสามัญเห็นๆ แต่สิ่งที่หนักใจของผมมันกลับมาอยู่ตรงที่เกรดเดิมจากม.3 ไม่ค่อยสู้ดีนักบวกกับความที่หัวผมไม่ค่อยจะดีนัก ขยันรึ! ก็เปล่าเลยเวลาเรียนก็ห่วงคุยซะมากกว่าเลยทำให้ตัวผมเองและพ่อแม่พี่น้องพาลกันเคี่ยวเข็ญและอบรมพร่ำสอน(จริงๆ เรียก "ต่อว่า" จะตรงประเด็นกว่า) ทำให้ผมทบทวนวิชาสมัยมัธยมและอ่านเก็งสอบปีก่อนๆ ของลูกพี่ฯ ผมอย่างขะมักเขม้น

คณะที่มีให้เลือกในสมัยนั้นสำหรับผมแล้วถือว่าน้อยมาก ช่างไม่มีตัวเลือกอะไรเท่าไหร่เลยต่างจากตอนเรียนม.ต้นที่ย.น.อย่างสิ้นเชิง บัญชี, การขาย, เลขานุการ โดยปวช.1 ยังเรียนแบบรวมมิตรทุกวิชาอยู่แต่จะต้องมาเลือกตอนจะจบปี 1 ลองมาเดาเล่นๆ ดูกันนะครับว่าสุดท้ายแล้วผมเลือกคณะไหน??? วกกลับมาตอนก่อนจะได้เข้าที่นี่ หลังจากที่ทำข้อสอบเสร็จแล้วออกมาจากห้อง ความรู้สึกแรกที่แล่นเข้ามาในหัวสมองเลยก็คือ "ตรูจะติดไหมเนี่ย? ยากชิบ กามั่ว, เว้นว่างตั้งหลายข้อ" แต่หลังจากฟังประกาศผลแล้วก็โล่งใจที่สามารถเป็นนักเรียนที่นี่ได้ ความหนักใจต่อไปของผมก็ตามเข้ามานั่นก็คือ...การที่จะเรียนที่นี่ได้อย่างมีความสุขและเกรดออกมางามๆ ตามที่ผู้ใหญ่หวังเอาไว้ สำหรับผมแล้วงานช้างและกดดันเป็นอย่างมากๆ เลย เชื่อหรือไม่ครับว่าคนดูเหมือนจะเรียนเก่งและไม่ค่อยจะตั้งใจเรียนอย่างผมจะสามารถเปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือ(คนละคนเลยว่างั้น)ตั้งแต่ได้เรียนที่พ.ต.แห่งนี้ การเรียนและเกรดพุ่งขึ้นๆ อย่างน่าตกใจในสายตาพ่อแม่รวมถึงตัวผมด้วย(สงสัยโดนกดดันไว้มากจนพลังแฝงที่แฝงเร้นไว้นานมันออกมานี่เอง ฮ่าๆๆ) จะไม่ให้น่าตกใจได้ไงครับจากที่เรียนได้เกรดไม่เกิน 2.5 กลับกลายมาเป็น 3.0 อัพตลอด(เคยได้สูงสุด 3.7 กว่าตอนปี 3 เพราะเป็นปีที่ฝึกงานและมีวิชาเรียนน้อย)



ปวช.ปีแรกนั้นสำหรับผมแล้ว นอกจากจะเป็นการปรับตัวเข้ากับสถานที่ใหม่แล้วยังต้องปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมห้องที่อายุมากขึ้นกว่าเดิมอีกระดับนึง แน่นอนว่าคนอายุ 14-16 เนี่ยก็ถือว่าเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นแตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาวกันอย่างเต็มที่แล้ว แต่ผมน่ะรึ? ยังถือว่าเป็นเด็กอยู่ในสายตาตัวเองและคนรอบข้าง แหม! ก็ตัวผมเล็ก(เตี้ย)ออกจะขนาดนั้น หน้าก็เด็กใสนิ้งบวกกับยังชอบดูการ์ตูนและเล่นเกมส์แบบเด็กๆ ยังไงยังงั้นไม่เปลี่ยนแปลง แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปจากตอนอยู่ม.ต้นเหมือนกระโดดข้ามขั้นแบบนั้น ตัวผมเองก็หวั่นใจสิครับก็เลยต้องมีการปิดบังซ่อนเร้นความจริงเอาไว้ เรื่องที่ผมปิดไม่บอกให้ใครรู้ก็คือ การดูการ์ตูนและการเล่นเกมส์ หัวข้อสนทนาของเพื่อนๆ ในห้องจะหนีไม่พ้นดารา, นักร้องและละครตอน 2 ทุ่มครึ่ง ไม่ใช่ว่าผมจะไม่บริโภคสิ่งเหล่านี้นะครับเพียงแต่มันไม่ใช่แนวของผมนัก พูดง่ายๆ คือสนใจระดับนึงแต่ก็ไม่ถึงกับบ้าคลั่งหลงไหลอะไรขนาดนั้น

ถ้าพูดถึงเพื่อนสมัยปี 1-2 แล้วหล่ะก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีครับ จะเรียกว่ามีกลุ่มซี้เลยก็ว่าได้เพราะเวลามีกิจกรรมอะไรก็จะกลับกลุ่มเดิมๆ ถ้าเป็นกลุ่มใหญ่ก็จะดึงหน้าเดิมๆ เข้ามาแต่ถ้าเป็นกลุ่มเล็กก็จะแบ่งได้เช่นกัน กิจกรรมนึงตอนอยู่ปี 1 ที่ผมชอบและประทับใจอยู่ก็คือ "เต้นประกอบเพลง" กล่าวคืออจ.จะให้แต่ละกลุ่มไปฝึกซ้อมเต้นประกอบเพลงไทยหรือเทศก็ได้มา 1 เพลง ไอ้ตัวผมเนี่ยก็ออกจะขี้ขลาดและตื่นเต้นกับเรื่องการแสดงออกแบบนี้เป็นที่สุด(ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ จะอยากลองแสดงออกแบบนี้ดูบ้างก็ตามที) เพลงนึงที่ผมประทับใจจนถึงตอนนี้ก็คือ "Ice Ice Baby" เพลงแนวสนุกสนานช่วงเดียวกับ No Coke เลย(ตอนนั้นผมฟังจากเทปเพลงก็อยู่ม้วนเดียวกันพอดี) ใจผมอยากจะเต้นกับเพลง No Coke ที่ผมโปรดปรานมากกว่าแต่ในเมื่อมติมาลงที่ Ice Ice Baby มันก็ต้องเลยตามเลยกันไป แหม...เพื่อนผมนี่ก็ช่างสรรหาท่าเต้นอะไรแปลกๆ มาเต้นเหลือเกิน ท่าเต้นน่ะผมจำไม่ได้หรอกครับแต่ยังแปลกใจจนปัจจุบันนี้ว่าเพื่อนคนที่คิดท่าเต้นพวกนี้เนี่ยคือผู้ชายครับ(คนเดียวเสียด้วย ไม่รู้ว่ามันเป็นเกย์รึเปล่า? แต่หน้าตามันก็ใช้ได้ทีเดียว) พวกเพลงไทยตอนนั้นที่สรรหามาเพื่อเต้นประกอบเพลงก็จะมีของเฮียมอส ปฏิภาณ, เจ๊ติ๊นาและป้าเบิร์ดของเรา ถ้าถามว่าการเต้นประกอบเพลงนี่มันเป็นส่วนนึงของวิชาใดนั้น...ไม่แน่ใจนะครับว่าเป็นวิชาพละศึกษารึเปล่า? แต่จำได้เลยว่าอจ.ที่สอนนั้นค่อนข้างหูดำชอบกล แต่ดูหน้าก็รู้แล้วว่าดำ-แดงขนาดไหน? อ๊ะๆ ผมไม่ได้นินทาครูบาอาจารย์เลยนะครับแต่มันคือเรื่องจริงนา เหอๆ





ได้อ่านวีรกรรมและเรื่องสนุกของผมมามากแล้วลองเปลี่ยนมาเป็นเรื่องของกินกันบ้างครับ ของกินในสมัยเด็กของผมมีประทับใจอยู่หลายอย่างมากเลยนะครับ อาหารคาวหวานที่ผมประทับใจก็มี "ขนมครกสิงคโปร์", "ขนมปลากริมไข่เต่า", "โรตีสายไหม"

ขนมครกสิงคโปร์ จะอยู่ในครกเป็นหลุมๆ เหมือนกับขนมครกทั่วไปแต่จะต่างกันตรงที่ขนาดที่กะทัดรัดกว่าและผิวจะเป็นสีเขียวเหมือนใบเตยดูน่ากินและรสชาติจะต่างกัน ขนมครกสิงคโปร์นั้นจะแห้งผากแต่ขนมครกทั่วไปพอกัดแล้วจะมีน้ำหน่อยซึ่งผมชอบแบบสิงคโปร์มากกว่า สมัยนี้ยังพอหากินได้อยู่แต่ยากมากทีเดียว ตอนนั้นจะกินทุกวันเสาร์-อาทิตย์เลยถือว่ากินเป็นอาหารเช้าก็ว่าได้เพราะจะกินคู่กับโอวัลตินเสมอ(แม่เพื่อนทำขายอร่อยจริงๆ)

ขนมปลากริมไข่เต่า สมัยนั้นจะเป็นรถเข็นๆ มาในซอยบางทีกำลังเล่นกันเพลินๆ ก็ต้องพักเหนื่อยและเติมพลังด้วยสิ่งเหล่านี้ ตัวผมเองไม่ค่อยได้กินบ่อยนักเนื่องด้วยไม่มีงบประมาณนั้นเอง(อยากกินมากก็ต้องมีวิ่งไปที่บ้านเพื่อไปขอเงินหรือบางทีก็หยิบเงินมาจากกระบะเงินของแม่เอาซะดื้อๆ อย่างนั้นเพื่อวิ่งมาซื้อ) ลักษณะจะเป็นเส้นสีขาวเคี้ยวหนึบๆ อยู่ในน้ำกะทิใส่ในถ้วย ตอนนั้นราคาน่าจะ 5 บาทได้ รสชาติออกเค็มๆ เพราะน้ำกะทิพาไปนั่นเอง กินชามนึงก็อิ่มไปพักใหญ่ๆ หล่ะแต่จะต้องกินน้ำตามเพราะเหนียวคอเหลือหลาย

โรตีสายไหม ยังจำได้ดีกับอาบังที่แบกปี๊บที่ใส่ขนมเอบีซี(นี่ก็ขนมโบราณแต่ผมไม่ชอบเลย)ใส่หลังแล้วเดินไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ สมัยนั้นราคาน่าจะ 1 บาทแต่จะต้องใช้การกดกริ่งเพื่อให้เข็มหมุนไปตามแผงกระดาษวงกลม ถ้าลงเลขไหนก็จะได้จำนวนชิ้นตามนั้นซึ่งส่วนใหญ่เลข 1 จะเยอะที่สุด ตอนนั้นรู้สึกว่าน่าสนุกและน่าลุ้นมากๆ เลย เคยได้เลข 2 อยู่ไม่กี่ครั้งเองเพราะลง 1 ตลอด(โตขึ้นถึงรู้ว่าบังมันโกงแน่ๆ) ล่าสุดผมเพิ่งได้กินไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง พอได้กินอีกครั้งเลยทำให้นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้เลยน่ะครับ แต่ผมว่าโรตีจริงๆ นี่อร่อยสุดแล้วนะครับ

ยังมีขนมอีกอย่างนึงที่ผมเพิ่งมานึกได้ไม่กี่วันนี้เอง ชื่อเรียกนี่ผมลืมไปแล้วนะแต่ลักษณะจะเหนียวเหมือนตังเม คนขายเขาจะเอาเจ้าสิ่งนี้ไว้ในภาชนะประเภทนึง(เรียกไม่ถูก)ที่เหมือนกับต้องใช้ความร้อนและเคี่ยวจนเหนียวหนับแล้วนำมาปั้นเป็นรูปร่างต่างๆ ที่จำได้ดีก็คงเป็น "คนแก่ตกปลา", "ลิง" และพวกสัตว์ต่างๆ จะมีสีสันต่างกันไปทั้งสีขาว, เขียว, แดง โดยใช้สีผสมอาหารเป็นส่วนประกอบ ใครพอจะจำได้บ้างครับว่าเจ้าขนมที่ผมบอกเนี่ยมันชื่อว่าอะไร?
Fiction

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา