[Japan Trip Aug. 2005] กระทู้บาปหนา : บาปอาหาร! แน่จริงไม่กลัวหิวก็เข้ามา!

แต่นแต๊น~~~

หลังจากกลับมาจากไปเที่ยวที่เดินย่ำต๊อกกันจนขาเดี้ยงไปคนละข้างสองข้าง ก็ต้องมานั่งปั่นงานส่งให้ทัน deadline เลยไม่ได้มาเล่าเลยว่าไปทำอะไรบ้าง บัดนี้เราเป็นไทแก่ตัวแล้วเพราะเพิ่งส่งงานไป อิอิ เพราะงั้นก็มีเวลามารายงานข่าวว่าไปโน่นทำอะไรบ้าง ก็จะเล่าคร่าวๆนะเพราะเล่าละเอียดไม่ไหว คนเล่าจะนิ้วหักซะก่อนและคนอ่านก็อาจจะหลับคาจอ (เอิ๊ก)



แน่นอนว่าการเล่าที่ขาดไม่ได้คือเผยแพร่บาป โดยเฉพาะบาปของกิน เนื่องจากเซ็ฟเฟอร์โพสต์บาปของเล่นไปแล้ว ของกินก็จะไม่ยอมน้อยหน้า อิอิ ใครกลัวหิวรอบดึกก็ปิดกระทู้ไปก่อนนะ เช้ามากินข้าวอิ่มแล้วค่อยมาเปิดดู :p



ไปหนนี้พักโรงแรมที่ Asakusa อยู่ห่างจากรถไฟใต้ดินสถานี Asakusa (สาย Ginza สีส้ม) เป็นระยะทางเดิน 12 นาที พอแลนดิ้งปุ๊บโรงแรมยังไม่ถึงกำหนดให้ check in ก็เลยไปเดินย่ำต๊อกในเมือง และไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าต้องไปเกินที่ Akihabara แน่ๆ....เพราะรายชื่อฝากบาปเยอะเพียบบบบ ก็เลยไปถลุงเงิน(ของคนอื่น)ตั้งแต่วันแรก



ร้านที่ขาดไม่ได้คือร้านกินข้าวเที่ยง ซึ่งเราเลือกไปร้านเดิมของเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ (>w<)/ หนนี้ก็ยังอร่อยเหมือนเดิม แถมวันนี้คนไม่เยอะด้วย เรามาดูร้านกันดีกว่า....ร้านนี้อยู่ตรงสี่แยก ตรงข้ามกับร้านปาจิงโกะเคนชิโร่พอดี ตึกปาจิงโกะนั้นชื่อ Big Apple เพราะงั้นก็เป็น Landmark ที่ใหญ่ใช้ได้เลย





หนนี้ไม่ลืมถ่ายรูปหน้าร้านมาฝาก แฮ่ ~ ที่จริงได้นามบัตร (ไม่เชิงนามบัตรอ่ะ แค่เป็นเหมือนคูปองใบเล็กๆที่มีชื่อร้าน ที่อยู่ เบอร์โทรเอาไว้ ให้ลูกค้าเก็บกลับบ้านไว้เผื่อมากินอีกแล้วกลัวหาร้านไม่เจอ) มาด้วยใบนึง ใครจะไปญี่ปุ่นแล้วสนใจจะหาร้านหรือโทรจองก็บอกนะเดี๋ยวแสกนส่งไปให้ อิอิ



นี่คือรูปหน้าร้านชัดๆ แล้วในร้านก็มีป้ายบอกราคาของจานแต่ละสี





ไม่พูดมากละกัน ดูรูปเอาเอง :D คลิกเพื่อดูรูปใหญ่ได้สำหรับคนไม่กลัวปลาดิบ









บางรูปถ่ายไม่ทันเพราะคนหยิบ (ก็พี่คุม่ากับเซ็ฟเฟอร์แหละ) หยิบปุ๊บก็คีบเข้าปากเลย เพราะงั้นจานที่มี 1 คำก็ไม่ต้องแปลกใจ





ข้างล่างนี้อยากให้ดูรูปขวาสุด คือกองจานเปล่าที่พ่อครัวตรงซึเคบะเตรียมไว้ใส่ของเสิร์ฟ....เอิ๊ก





สุดท้ายของร้านนี้ เป็นเมนูที่น่าตกใจ มาได้ไงเนี่ย!



เค้าเข้าใจทำดีนะ เหอเหอ เสิร์ฟน้ำผลไม้กล่องมาตามสายพาน โมจิเห็นปุ๊บก็ตะครุบปั๊บเลยอ่ะ



อ่ะ เกือบลืม ราคาที่มีในเมนูเล็กๆ (บางเมนูเช่นพวก 99 เยน จะไม่มีเขียนไว้ แต่มันจะไหลมาตามสายพานเป็นระยะๆ)

อย่าลืมว่าภาษาญี่ปุ่นถ้าเขียนหนังสือแนวตั้ง ต้องอ่านจากขวาไปซ้ายน่อ













ร้านนี้ราคาถูกใช้ได้ คุณภาพอาหารดีมากๆถ้าเทียบกับซูชิสายพานในกรุงเทพ (แหงล่ะ ที่นู่นเขาต้นตำรับนี่) สามคนมื้อนั้นกินกันเฉลี่ยคนละ 1300 เยน





ทริปนี้ทั้ง 3 วันเราก็วนเวียนเวียนวนกลับไปเดินที่ Akihabara ทุกวัน

ร้านนี้สะดุดตามากๆเลย.....คนมุงตรึม สงสัยจะอร่อย



เป็นร้านข้าวห่อสาหร่ายแบบซื้อกลับบ้านและเดินกินได้



พี่คุม่าเดินเข้าไปชะโงกร้านนั้น แต่โมจิสนใจร้านข้างๆมากกว่า อิอิ...





มันคือทาโกะยากิใส่กล่อง!!!



ซึ่งวันที่ถ่ายรูปมานี่ไม่ได้ซื้อหรอก ไปยืนมองๆดมๆเฉยๆ กว่าจะได้กินก็วันสุดท้าย คือวันอาทิตย์นู่น แถมซื้อมาแล้วไม่มีเวลากินเพราะต้องรีบกลับโรงแรมเพื่อขึ้นรถไปสนามบิน เลยถือหิ้วไปหิ้วมาจนมันหายร้อนหมด... แล้วไปนั่งจกที่สนามบินแทน (เย็นแล้วแต่ยังอร่อย) แผล่บๆๆ



ย้อนกลับมาวันเสาร์ ซึ่งนัดเจอลุงริวโกโอ บุคคลหายากในตำนานจีจี สต๊าฟลึกลับฟู้หายสาบสูญและเคยหายไปนานจนหาทางกลับบ้าน (GG) ไม่ถูก (ฮาาาาาาาาา) พอเจอกันครบ 4 คนแล้ว (ก่อนหน้านั้นกระจัดกระจาย แยกกันไปคนละทิศ) ก็เดินจากสถานีอากิฮาบาร่าเพื่อไปกินมื้อเที่ยง! แน่นอนว่าลุงริวโกโอเป็นผู้นำทาง



ก่อนหน้านั้นตอนยืนรอพี่คุม่า(ผู้น่าสงสารเพราะแบกของกองมหึมาไปหาล็อคเกอร์เก็บ เหงื่อกาฬแตกโทรมกายเพราะอากาษร้อนของกรุงโตเกียว) กับเซ็ฟเฟอร์(ผู้น่าสงสารเพราะหาประตูด้านที่เรานัดกันไม่เจอซะที ได้วิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดทุก exit จนน่องบวม) โมจิได้คุยกับลุงริวว่าเราทั้งสามคนอยากกลับไปกิน "ไดฮาจิเคน ราเมง" ที่ชินจูกุ แต่ไม่มีเวลาแล้ว ลุงริวเลยอาสาพาไปกินทงโคสึราเมง (ราเมงซุปกระดูกหมู) ที่อร่อยๆ



ก็เลยไปถึงร้านนี้.....(ไม่ได้แอบถ่ายผู้หญิงนะ อย่าเข้าใจผิด จะถ่ายป้่ายร้านตะหาก)



มาดูกันชัดๆ....





ข้างในร้านต้องไปหยอดเงินเลือกของที่ตู้ขายคูปองอัตโนมัติ แล้วเอาคูปองไปยื่นที่พนักงาน





แต่ละคนก้มหน้าก้มตากิน....



พี่คุม่าเห็นลุงริวกินข้าวหน้าหมูสามชั้นแล้วน่าอร่อย เลยซื้อกินมั่ง หยับๆ...

โมจิมัวแต่ซดราเมงของตัวเองเลยไม่ทันได้ถ่ายรูปอาหารตอนที่เค้าเพิ่งเสิร์ฟ T^T ฮือๆๆ



สองคนนี้เม้าท์สนั่นเพราะคุยกันถูกคอมาก ก็เลยยิ่งซดราเมงได้แซ่บขึ้น



เซ็ฟเฟอร์ถูกใจเครื่องปรุงเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะมีพริกให้เติมแล้วยังมีกระเทียมดองสับ ให้ใส่ด้วย



ทงโคสึราเมงของโมจิ ที่นึกได้แล้วหยิบกล้องออกมาถ่ายนี่เพราะเริ่มหายหิวแล้วอ่ะ เหอๆๆ





ร้านนี้ราคาไม่แพงด้วย ใครชอบราเมงราคาถูกๆ แล้วไม่จู้จี้เรื่องที่นั่งหรือร้านคนแน่น ก็ลองไปดูนะ อยู่แถวๆถนนใหญ่ไม่ไกลจากสถานีอากิฮาบาร่า (แต่อยู่ส่วนไหนของอากิบะก็ไม่รู้นะ แบบว่าหิวตาลายแล้วก็เดินตามเขาอย่างเดียว... ไม่ได้จดจำแผนที่ หงิงๆ...



ต่อไปคือมื้อค่ำวันเสาร์ เป็นร้านเดียวกับที่ไปกินเมื่อเดือนกุมภาพันธ์อีกแล้ว เพราะท่านผู้ใหญ่ที่เป็นสปอนเซอร์มื้อนี้ชอบร้านนี้มากๆ ทำนองว่าไปญี่ปุ่นทุกครั้งต้องไปกินที่ร้านนี้หนึ่งมื้อ... ร้านนี้อยู่ไม่ไกลจากสถานี Ikebukuro (ชื่อสถานีนี้ ท่านผู้ใหญ่ท่านนั้นจำง่ายๆตามที่โมจิสอน เลยเรียกว่า "อีแก่บุคคโล" เล่นเอาเซ็ฟเฟอร์ได้ยินแล้วสำลักน้ำออกจมูกเลย กั่ก) ใกล้ๆร้าน Big Camera





ป้ายหน้าร้านและบันไดลง





นัด 6 โมงครึ่งแต่เราสามคนไปสาย ไปถึงเกือบๆ 1 ทุ่ม พอไปถึงพบว่ากลุ่มที่มาถึงก่อน(รวมทั้งท่านสปอนเซอร์ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม :p)กำลังนั่งแทะปูอยู่อย่างเอร็ดอร่อย หลังจากนั้นก็ทยอยสั่งอาหารมาเรื่อยๆ ตั้งแต่หัวปลาบุริ (ถ่ายไม่ทันเพราะปอบลง) ปลา Salmon ย่างเกลือ(มั้ง) สลัดผัดใส่ขาปูอลาสก้า(หนนี้มีมันปูกองเบ้อเริ่มด้วย อร่อยแบบมันๆ) ซูชิเซ็ทแบบที่สั่งคราวก่อน ซึ่งมีข้าวปั้นหน้าปลาไหลขนาดใหญ่ผิดมนุษย์มนามาด้วย และมีอีก 2-3 เมนูที่ไม่ทันได้ถ่าย(เพราะมัวแต่กิน)











ของกินก็หมดเท่านี้(มั้ง)

กระทู้หน้าจะเล่าเรื่องการเดินย่ำต๊อก ร้านบาปหนา ร้านเกมตู้ และการไปมุงชาวบ้านเล็กๆน้อยๆ

Miscellaneous

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา