Mecha Story : Update (เพิ่มเติมIGLOO)

กลับมาหากันตรึมอีก จริงๆแล้วว่าจะรวมปืนเอกิลในภาคมังงะให้มันครบทุกอย่างจริงๆไปเลย แต่อันนั้นต้องค้นอีกหน่อย



(รูปโยกไปด้านล่าง)

MSM-07 สก็อก

MSแบบสะเทินน้ำสะเทินบกที่พัฒนาโดยMIPที่ใช้งานได้ดีไม่ว่าจะอยู่ในน้ำรึบนบก โดยการผสมดีไซน์ของก็อกและแอ็กไกเข้าด้วยกัน สก็อกไม่ใช้ถังน้ำสำหรับลดอุณหภูมิเหมือนMSแบบสะเทินน้ำสะเทินบกส่วนใหญ่ แต่ใช้พัดลมระบายความร้อนแทนจึงมีน้ำหนักที่เบากว่า มือทั้งสองข้างมีปืนอนุภาคและกงเล็บอยู่ ส่วนหัวมีมิสไซล์ลันเชอร์ติดตั้งไว้ นับเป็นMSสะเทินน้ำสะเทินบกที่ประสพความสำเร็จที่สุดในยุคOYW นอกจากรุ่นปกติแล้วก็มีรุ่นจ่าฝูงซึ่งใช้เกราะที่ดีกว่าเดิม เท่าที่เป็นที่รู้จักกันก็คือสก็อกสีแดงของชาร์

รูปแบบของสก็อกได้รับการพัฒนาต่อมาเป็นMSM-07E สก็อกE (E มาจาก Experiment - ทดลอง) โดยเพิ่มความสามารถในการหดแขนขาทำให้สามารถพุ่งในน้ำได้เร็วกว่าเดิมมากและยังย้ายถังเชื้อเพลิงสำหรับท่อขับดันไปติดไว้ที่แขนพร้อมEแคป ทำให้สามารถชาร์จพลังงานของบีมกันจากเตาปฏิกรณ์ได้โดยตรงและสามารถยิงรัวได้ มิสไซล์ลันเชอร์ที่หัวเปลี่ยนเป็นตอร์ปิโดลันเชอร์เพื่อให้ใช้ในน้ำได้ดีกว่าเดิม สไตเนอร์ ฮาร์ดี้ หัวหน้าหน่วยไซคลอปใช้สก็อกEในการโจมตีฐานEFที่ขั้วโลกเพื่อหยุดการขนส่งอเล็กซ์ นอกจากนั้นยังมีMSM-08 โซก็อก ที่เน้นการต่อสู้ระยะประชิด โดยใช้คัตเตอร์ติดสายที่หัวและแขนที่ยืดได้ ซึ่งนิ้วของโซก็อกติดใบมีดจึงใช้หมัดเชือดศัตรูได้ โซก็อกเป็นหนึ่งในMSที่โดนทิ้งไว้ที่แคลิฟอร์เนียตอนที่ชาร์บุกจาโบร

สก็อกยังได้รับการพัฒนาต่อมาเพื่อใช้ในอวกาศเป็นMS-13 แกซเชีย ซึ่งเป็นหนึ่งในMSจากโปรเจ็คท์เพซุน อาวุธของแกซเชียประกอบด้วยมิสไซล์ลันเชอร์180มม.แบบสี่ลำกล้องและ"แฮมเมอร์กัน" ซึ่งเป็นอาวุธที่ลอกมาจากลูกตุ้มของกันดั้ม และMSM-07Di เซก็อก ซึ่งเป็นสก็อกที่ดัดแปลงโดยถอดมิสไซล์ลันเชอร์และแขนขวาออกเพื่อติดตั้งระบบควบคุมให้ใช้งานระบบโมบิลไดเวอร์ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้MSสามารถทิ้งตัวจากอวกาศและทำลายยานรบของEFที่กำลังขึ้นจากโลกได้ ซึ่งโมบิลไดเวอร์นี้เป็นอาวุธแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง โดยหลังปฏิบัติการเสร็จ เซก็อกจะปลดโมบิลไดเวอร์ทิ้งแล้วให้ยานกาวรับไปส่งที่อื่น เท่าที่ปรากฏ โมบิลไดเวอร์มีสามแบบ โดยสองแบบแรกเป็น คอนเทนเนอร์อาวุธ LWC (Logistics Weapon Container) ซึ่งบรรจุมิสไซล์ไว้ และแบบที่สามคือบีมแคนน่อนแบบสาดกระจาย "คูเบลเม" ซึ่งในการทดสอบเซก็อกครั้งที่สามบนยานโยซันไฮม์ นักบินทดสอบ เวิร์นเนอร์ โฮลไบน์ ใช้คูเบลเมทำลายยานชั้นแม็กเจลแลนและซาลามิสรวมห้าลำในครั้งเดียว แต่ยานกาวที่มารับและเซก็อกก็ถูกคอร์บูสเตอร์ทูว์แบบอินเทอเซปท์ยิงตกเช่นกัน และเมื่อซีอ้อนต้องถอยไปจากโลกก็ไม่มีการใช้งานโมบิลไดเวอร์อีก



สก็อกสองรุ่น



สก็อกE



โซก็อก



แกซเชีย



เซก็อก



ติดโมบิลไดเวอร์A



ติดโมบิลไดเวอร์B



ติดคูเบลเม











MA-05 บิโกร MA-05Ad บิกแรงก์ และ MP-02A อ็อกโก

MAที่ใช้รบจริงรุ่นแรกซึ่งพัฒนามาจากMIP-X1 ซึ่งเป็นMAรุ่นแรกที่บริษัทMIPเอามาประกวดแข่งกับZI-XA3(ที่รู้จักกันในภายหลังว่าMS-01)ของซีโอนิคหลายปีก่อนจะเกิดสงครามหนึ่งปี ซึ่งในครั้งนั้น คอนเซ็ปท์ของMAก็พ่ายแพ้ต่อMSที่คล่องแคล่วและใช้งานได้หลากหลายกว่า นอกจากนี้MSยังมีAMBACทำให้สำหรับบังคับทิศทางโดยไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงจึงมีช่วงเวลาที่สามารถปฏิบัติการได้นานกว่ามาก ทางซีอ้อนก็ทุ่มเทการพัฒนาให้กับMS และได้ซาคุซีรี่ส์ออกมาในที่สุด จนกระทั่งหลังสงครามหนึ่งปีเริ่มขึ้น MAจึงได้เริ่มการพัฒนาเป็นจริงเป็นจังเพื่อให้ใช้งานเฉพาะโดยเฉพาะอุปกรณ์ขนาดใหญ่อย่างปืนมหาอนุภาคที่ไม่สามารถติดตั้งให้MSได้ ซึ่งMIP-X1ได้รับการดัดแปลงเป็น MA-05 บิโกร

บิโกรใช้เซ็นเซอร์แบบโมโนอายเหมือนMSของซีอ้อนและมีกงเล็บขนาดใหญ่ซึ่งนอกจากจะใช้โจมตีแล้วยังใช้ช่วยควบคุมทิศทางด้วยAMBAC บิโกรใช้ท่อขับดันขนาดใหญ่ในการเคลื่อนที่จึงมีความเร็วสูงและในตัวมีระบบที่ใช้แพร่อนุภาคไมนอฟสกี้เหมือนกับยานรบ ติดตั้งปืนมหาอนุภาคและมิสไซล์ลันเชอร์แบบสี่ลำกล้องเอาไว้คู่นึง บิโกรนั้นนับว่าเป็นยูนิตต่อต้านยานรบที่มีประสิทธิภาพมากแต่เนื่องจากมีราคาสูงและใช้กับศัตรูที่เล็กกว่าอย่างMSหรือยานรบได้ไม่ดีนักจึงมีการผลิตออกมาเป็นจำนวนจำกัดเท่านั้น

บิโกรมีรุ่นย่อยๆสองรุ่นคือMA-05M บิโกรไมเยอร์ ซึ่งถอดมิสไซล์ลันเชอร์ที่ลำตัวออกและติดบีมแคนน่อนที่แขนไว้แทนกงเล็บ กับ MA-05Ad บิกแรงก์ ซึ่งติดบิโกรไว้บนตัวถังของยานรบ กลายเป็นMAขนาดยักษ์ที่สูง138เมตรและยาวถึง203เมตร จุดเด่นของบิกแรงก์ก็คือสามารถเก็บโมบิลพ็อด อ็อกโกไว้ในตัวเพื่อทำการซ่อมบำรุงได้ ด้านอาวุธนั้นนอกจากของเดิมที่ติดบนบิโกรแล้วยังมีพลุป้องกันบีมและมิสไซล์ต่อต้านยานรบติดตั้งไว้ บิกแรงก์ยังมีพลังงานเพิ่มจากเครื่องกำเนิดพลังงานของยานรบ จึงสามารถยิงปืนใหญ่มหาอนุภาคได้รุนแรงกว่าเดิมมาก จุดอ่อนสำคัญของบิโกรก็คือความคล่องแคล่วที่ต่ำมาก บิกแรงก์ออกรบในวันสุดท้ายของสงครามหนึ่งปีที่อบาโออากูโดยมีโอลิเวอร์ มายเป็นนักบิน แม้โอลิเวอร์จะเกลียดบิกแรงก์มากเพราะไม่มีความเร็วซึ่งเป็นจุดเด่นของบิโกร แต่โอลิเวอร์ก็ยังสามารถจมยานชั้นซาลามิสและแม็กเจลแลนรวมถึงหกลำในการต่อสู้ก่อนที่บิกแรงก์จะถูกทำลาย ส่วนโอลิเวอร์นั้นรอดมาได้

ส่วนMP-02A อ็อกโก เป็นโมบิลพ็อดที่ซีอ้อนพัฒนาในขณะที่เหลือทรัพยากรน้อยเต็มทน ซึ่งการสร้างอ็อกโกมีค่าใช้จ่ายเพียงครึ่งเดียวของซาคุทูว์และสามารถใช้อะไหล่ของMSภาคพื้นดินที่ซีอ้อนมีเหลืออยู่ได้ โครงสร้างของอ็อกโกประกอบค็อกพิตซึ่งอยู่ใต้เซนเซอร์และลำตัวซึ่งเป็นแบบถังทรงกระบอก ส่วนปลายของถังทั้งสองด้านเป็นป้อมที่สามารถหมุนได้รอบซึ่งติดท่อขับดันและแขนกลกับอาวุธไว้ อ็อกโกสามารถติดตั้งมิสไซล์ลันเชอร์หกลำกล้องเป็นอาวุธและใช้ปืนกลกับบาซูก้าของซาคุได้ โดยรวมแล้วนับว่ามีพลังในการต่อสู้สูงกว่าบอล อ็อกโกจำนวน35เครื่องถูกส่งไปประจำการบนยานโยซันไฮม์โดยมีพลทหารวัยรุ่นจากวิทยาลัยนักบินเป็นผู้ควบคุม อ็อกโกสามเครื่องถูกทำลายในการทดสอบบนดวงจันทร์ ส่วนที่เหลือถูกใช้งานในวันสุดท้ายที่อบาโออากู เนื่องจากสามารถพักซ่อมแซมและเติมเชื้อเพลิงกับกระสุนในบิกแรงก์ได้ทำให้อ็อกโกสามารถต่อสู้ในสนามรบได้เป็นเวลานาน (บอกเป็นนัยๆว่าให้สู้แค่ตายไปเลย...) เมื่อสงครามจบลงก็มีอ็อกโกบนโยซันไฮม์เหลือรอดเพียง9เครื่องเท่านั้น
Super Robot Wars Games Mecha Story

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา