[spoiler]Da Vinci Code - หนังดีที่ไม่ควรดูในโรง

[font color=red size=4]Da Vinci Code : รหัสลับ ระทึกโลก...[/font]




ตัดสินใจไปดูด้วยเหตุผลข้อแรกคือ [font color=violet size=3]"หน้าหนังทำได้ดีมาก"[/font] และอีกข้อก็คือ [font color=violet size=3]"ทำจากนิยายขายดีติดอันดับในหลายๆ ประเทศ และเป็นที่กล่าวขวัญถึงเรื่องผลกระทบจากตัวนิยายต่อศาสนา"[/font] ส่วนประการสุดท้ายก็เห็นจะเป็น "อาจารย์เอามาเป็นcase studyในห้องเรียนรอบนึง (เราเลยถูกspoilตอนจบไปในตอนนั้นเอง)" ส่วนไอ้เรื่องตัดไม่ตัดไรนั่น ไม่สนใจแต่แรกแล้ว เพราะถ้ามันตัดจริงๆ ก็แค่ไปหาแบบuncutอย่างBasic Instinct IIในเนตก็ได้ เหอๆๆ



แต่พอหนังเริ่มฉายไปได้หน่อยๆ อาการของคนที่รู้เรื่องย่อมาหมดแล้วก็กลายเป็นง่วงเหงาหาวนอน อึดอัดคับข้องใจกับองค์ประกอบหลายๆ อย่างในหนัง แต่ขณะเดียวกันก็ตื่นตาตื่นใจกับของประกอบฉากตามเนื้อเรื่องซะงั้น แต่พอเรื่องดำเนินตามหนังไปเรื่อยๆ เราก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าเบื่อมากขึ้นทุกที อารมณ์ประมาณว่า "เมื่อไรมันจะกลับไปLouvreซะทีเนี่ย"



โดยส่วนตัวแล้ว(ที่โดนspoilตัวนิยายจนเกลี้ยงโดยไม่ต้องอ่านเอง) ก็คิดว่าทำหนังมาตั้ง160นาทีนี่ออกจะนานไปหน่อย กว่าอีตาทิบบิงจะออกก็ปาไปเกือบครึ่งเรื่องแล้วล่ะมั้ง แล้วด้วยความที่เนื้อหามันยาวหรืออย่างไรไม่ทราบ(ทั้งที่จริงๆ เวลาในนิยายตั้งแต่ต้นจนจบก็ตก2วันโดยประมาณ) ตัวหนังจึงไม่ค่อยฉายให้เห็นภาพวาดแต่ละรูปในพิพิธภัณฑ์มากเท่าที่ควร จัดเป็นเรื่องน่าเสียดายอันดับต้นๆ เลยนะเนี่ย เพราะถ้าไม่ใช่หนังสือปกแข็งก็ไม่มีภาพสีให้ดูซะด้วย นอกนั้นก็ไม่มีอะไรจะติ แต่มันน่าเบื่อตรงที่ดำเนินเรื่องยืดยาด(ในความรู้สึกเราคนเดียวนะ) ไม่ค่อยฉับไวอย่างที่ควรจะเป็น แต่สักพักคนข้างๆ ก็หาววอดพอกัน ขนาดมันยังไม่ได้อ่านนะเนี่ย แต่ก็ยอมรับล่ะว่าในนิยายตัวละครค่อนข้างเยอะ และก็มีบทกันแยะด้วย จะตัดไปก็อาจจะลำบากสักนิด



เรื่องนักแสดงก็เลือกกันได้ดี โดยเฉพาะตัวพระที่ทำหน้าที่ยังกะหน่วยอิสคาริออต เลือกนักแสดงได้หล่อมากๆๆๆ น่าจับ[font color=fuchsia size=3]Y[/font]มากๆๆๆ (เราจิ้นระเบิดไปแล้วตอนเห็นFlashbackในอดีตของพระนักฆ่า...แบบว่าอะไรที่คลุมเครือเราจิ้นได้หมดแหละ>w<) แล้วนางเอกที่ตอนแรกไม่ชอบเลยเพราะคิดว่า "หน้าตาอย่างนี้น่ะนะ ทายาทพระเยซู" ก็เปลี่ยนความคิดไปทีละนิดตามการดำเนินเรื่อง ส่วนฉากจบที่น่าจะอลังการก็ไม่ได้มากมายอย่างที่คิด แต่ก็คิดว่าสมจริงดี เพราะในที่ฝังพระศพเดิมนั้นมีดอกกุหลาบแดงสดปักอยู่ในแจกัน แต่ในที่ฝังจริงนั้นกลับเป็นกุหลาบแห้งเหี่ยวซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะปิระมิดอันล่างสุดนั่นคงเป็นประเภทปิดตายซะมากกว่า แต่ก็เสียดสีดีเหมือนกันเพราะในตอนต้นเรื่อง นายตำรวจที่เป็นคริสต์นิกายโอปุสเดอีเรียกปิระมิดแก้วว่า [font color=violet size=3]"ขยะกรุงปารีส"[/font] แล้วนิกายนี้ตามเนื้อเรื่องก็ชิงชังแมรี แม็กดาเลนซะด้วย เท่ากับว่าสาวกนิกายนี้มีอคติต่อหลุมศพปรปักษ์โดยไม่รู้ตัว



อีกเรื่องที่ขอชมเชยก็คือการเก็บรายละเอียดตัวละคร ทั้งที่น่าจะถ่ายเจาะแต่ละฉากแล้วมาตัดต่อใหม่ แต่หลังจากนางเอกโดนพระเอามีดจ่อคอเป็นตัวประกันในโบสถ์ที่อังกฤษแล้ว แผลตรงนั้นก็ยังตกสะเก็ดตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง นับว่าทีมงานตั้งใจเก็บรายละเอียดกันจริงๆ แล้วยังมีฉากที่นางเอกหกล้มจนแข้งเป็นแผลเลือดอาบอีก พอหนีมาขึ้นรถเมล์สำเร็จก็ยังเขียนบทให้นางเอกนั่งซับเลือดไป พระเอกนั่งsearchข้อมูลไป แต่ก็แปลกๆ ใจอยู่นิดๆ ว่าทำไมถึงต้องไปห้องสมุดเชลซีด้วยนะ หอสมุดแห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษก็มี หรือจะกลัวไปเจอThe Paperเข้าที่นั่นรึไง="=



มีเรื่องติดใจอีกนิดเดียวก็ตรงที่ทั้งเรื่องเห็นของมียี่ห้อก็คือรถที่แปะตรา[font color=violet size=3]BOSCH[/font]ไว้ชัดเจนแค่ครั้งเดียว อดคิดไม่ได้ว่าเป็นGoods Placementหรือเปล่านะ ที่ไม่ค่อยแน่ใจเพราะไม่ได้โจ่งแจ้งเท่าMI:3น่ะแหละ อันนั้นนี่สุดๆ ทำเอาหายสงสัยเลยว่าทำไมDHLถึงเป็นสปอนเซอร์ของรางวัลที่ให้ส่งใบชิงโชค



ในส่วนบทบรรยายไทยนั้น ก็นับว่าแปลได้ดี ทั้งที่บางส่วนของหนังจะเป็นภาษาฝรั่งเศสมั่ง ภาษาอังกฤษมั่ง แต่ก็น่าแปลกใจที่เวลาตัวละครพูดภาษาฝรั่งเศสกลับไม่มีบทบรรยายภาษาอังกฤษใต้ภาพ ไม่รู้ว่าค่ายหนังในไทยลบทิ้งไปเองหรือเปล่า ก็เลยทำให้ไม่รู้ว่าบทบรรยายไทยแปลตรงแค่ไหน เนื่องจากมาสะดุดใจก็ตรงฉากที่นายตำรวจตัวแสบอัดเจ้าหน้าที่ของหอบังคับการบินซะงอมพระรามเพื่อบังคับให้ส่งแผนการบินมานั่นแหละ พอดีความทรงจำสมัยมัธยมมันตื่นขึ้นกะทันหัน ก็เลยจำได้ว่า [font color=violet size=3]"Si vous plait."[/font] เนี่ย มันไม่ได้แปลว่า [font color=violet size=3]"บอกไม่เชื่อ"[/font] แน่ๆ ล่ะ ถึงตามฉากแล้วน่าจะพูดประมาณนั้นก็เหอะ แต่ถ้าดูไปเรื่อยๆ จะเข้าใจว่าทำไมตำรวจคนนี้ถึงฉุนเฉียวและพยายามจะจับตัวคู่พระ-นางให้ได้โดยเร็วจนทำอะไรไม่ยั้งคิดขนาดนั้น ดังนั้นมันก็น่าจะแปลแบบตรงตัวมากกว่ามาปรับบทแปล แต่ถ้าคนแปลจะคิดในแง่ว่าคนดูส่วนใหญ่ไม่รู้ภาษาฝรั่งเศสก็คงถือว่าแปลได้เหมาะสมแล้วนั่นแหละ แต่อีกเรื่องที่ไม่ชอบใจคือการทับศัพท์ [font color=violet size=3]"Holy Grail"[/font] อยู่ตั้งนานกว่าอีตาทิบบิงจะแปลให้ฟังว่า [font color=violet size=3]"จอกศักดิ์สิทธิ์"[/font] ซึ่งจริงๆ จะทับศัพท์แต่แรกก็ได้แล้วแท้ๆ เพราะคนส่วนใหญ่ที่มาดูหนังก็คือคนอ่านนิยายเรื่องนี้ แล้วคำนี้ก็ไม่ได้มีในนิยายเรื่องนี้เรื่องเดียวสักหน่อย เรื่องตำนานพระเจ้าอาเธอร์ก็มี ในFATE//STAY Nightก็มี แล้วถึงคนดูไม่รู้ เดี๋ยวก็มีตัวละครอธิบายเองแหละว่าความหมายที่คนส่วนใหญ่เข้าใจคืออะไร และความหมายแท้จริงในเนื้อเรื่องนั้นเป็นอย่างไร



[font color=blue size=3]สรุปสั้นๆ[/font] แล้วกันว่าเรื่องนี้เป็นหนังดีจริงๆ เพราะเก็บรายละเอียดได้ดีทีเดียว แต่ไม่เหมาะสำหรับคนที่ความอดทนต่ำ เพราะฉากบู๊ไม่ได้มีมากมาย เน้นพูดกันเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งรู้เรื่องจากนิยายอยู่แล้วจะยิ่งเบื่อเข้าไปใหญ่ เว้นอยากลุ้นว่ามะไรจะถึงฉากต่อไป(ส่วนเราลุ้นให้มันจบเร็วๆ) ดังนั้นใครที่คิดจะดูแต่ไม่ค่อยอดทนก็รอเป็นแผ่นออกมาแล้วซื้อมาดูที่บ้านจะเหมาะสมกว่า นั่งๆ นอนๆ ดูได้สบายใจเฉิบ เหอๆ
Miscellaneous

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา