นางฟ้าแห่งสวนดอกไม้ หึหึอ่านเองแล้วจะรู้ว่ามัน....
บ่ายวันหนึ่งในEast City...
เขตแดนใต้ความรับผิดชอบของผู้พันเจ้าสำราญ Roy Mustang ที่หญิงสาวทั้งนครหลวงและนครตะวันออกต่างลงมติอยากออกเดทด้วยมากที่สุด
วันนี้ชายหนุ่มยังคงคร่ำเคร่งกับงานเช่นเคย หากแต่ราตรีมาเยือนเมื่อใด เขาก็พร้อมสลัดเครื่องแบบและโลดแล่นไปกับสาวสวยโดยไม่ใส่ใจสถานภาพตนเอง พฤติกรรมเช่นนี้สร้างความเบื่อหน่ายแก่ Riza Hawkeye ลูกน้องคนสนิทมากที่สุด โชคดีที่ผู้พันไม่เคยแสดงท่าทีอยากกินไก่วัดผู้มีนัยน์ตาแหลมคมดุจนางเหยี่ยวคนนี้ มิเช่นนั้นคงได้รับรู้ในไม่ช้าว่านรกกลางดงกระสุนปืนนั้นเป็นเช่นไร
และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผู้พันหนุ่มนัยน์ตาไม่มีชั้นสองต้องร้องหา Edward Elric เจ้าของสมญาFull Metal Alchemist เด็กชายอัจฉริยะที่ได้รับสัญลักษณ์แห่งนักเล่นแร่แปรธาตุประจำรัฐเมื่ออายุเพียงสิบสองปี และทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเรียบร้อยมั่ง วุ่นวายมั่ง แต่กลับเป็นที่ชื่นชมจากประชาชนทั่วไปจนได้รับฉายา “สุนัขรับใช้กองทัพที่อยู่ฝ่ายประชาชน”
“ริซ่า! ไปตามเอ็ดเวิร์ดมาเดี๋ยวนี้!!”
รอยสั่งโดยไม่เงยหน้าจากรายงานการปฎิบัติภารกิจล่าสุดของเด็กน้อยผมทอง สาวผมสีฟางข้าวที่รวบขมวดแน่นด้วยคลิปหนีบผมขานรับคำสั่งโดยไม่เงยหน้าจากกองเอกสาร ก่อนเดินออกไปโดยไม่แม้แต่ชำเลืองสายตามายังผู้เป็นนาย จึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มมีเลศนัยและดวงตาพราวระยับของผู้พันเจ้าสำราญ ยามนึกถึงดวงหน้าอ่อนใสและนัยน์ตาสีแสงสุริยันของเด็กในสังกัด พลางคิดหาคำพูดกระทบกระเทียบอย่างเคยเพื่อให้ได้เห็นหน้าใสๆทำท่าเหมือนแมวถูกตีขนดหางขู่ฟ่อใส่เขา และทำหงอยเป็นสุนัขโดนดุเมื่อโดนเตือนเรื่องความลับของน้องชายที่ตนแกล้งแบล็กเมล์แต่ครั้งแรก แถมใช้ได้ผลเสียด้วย!?!
ร้อยเอกริซ่า ฮอว์คอาย…หญิงสาวผู้เคร่งครัดในกฎระเบียบเดินหาเด็กใต้บังคับบัญชาส่วนตัวของผู้พันทั่วทั้งกองบัญชาการก็ยังไม่พบแม้แต่เงาหัว จึงเดินไปยังหอพักเจ้าหน้าที่แทน แต่เมื่อเลี้ยวหัวมุมมาเพียงหนึ่งก้าว สายตาอันแหลมคมของสาวเจ้าก็จับจ้องร่างสองร่างที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่ตรงบานประตูห้องห้องหนึ่ง
ร่างสองร่างนั้นสวมใส่เครื่องแบบนายทหาร ร่างหนึ่งสูงใหญ่ไว้ผมทรงรด. อีกร่างเล็กบางไว้ผมรองทรงและสวมแว่นจนดูเหมือนเด็กนักเรียน มองปราดเดียวหญิงสาวก็ชี้ชัดได้ว่ามิใช่ใครอื่น ลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเจ้านายตนเช่นกันนั่นเอง…
“ฟูรี่…เบรดา…ทำอะไรลับๆล่อๆหือ?”
เสียงเข้มจัดอย่างคนเจ้าระเบียบดังขึ้นเบื้องหลังนายทหารหนุ่มทั้งสอง จนผู้ถูกเรียกทั้งสองสะดุ้งเฮือก และเมื่อหันกลับไปเห็นสายตาคมวาวดุจเหยี่ยวสาวเข้าก็เข่าอ่อนลงไปนั่งกอดกันหน้าประตูนั้นเอง
“ฉันถามว่าทำอะไรกันอยู่?”
ริซ่าทำเป็นไม่ใส่ใจอาการตัวสั่นหน้าซีดของทั้งสอง สายตาแหลมคมของหญิงสาวเคลื่อนไปจับจ้องประตูไม้สีน้ำตาลเข้ม ป้ายชื่อหน้าห้องแปะไว้ว่า E. Elric
ทีนี้ก็ถึงจุดหมายปลายทางสักที หากเอ็ดเวิร์ดไม่อยู่ในห้องนี้อีก หญิงสาวก็ไม่คิดจะออกไปตามหาทั่วเมืองแล้วล่ะ
แต่ก่อนที่มือขาวๆยาวเรียวของริซ่าจะได้เคาะประตูของสองพี่น้องนักเล่นแร่แปรธาตุ ฟูรี่และเบรดาก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครในที่นั้นคาดคิด!?!
“อย่าครับ”
สองนายทหารไม่ห้ามเปล่ายังยื้อยุดฉุดร่างหญิงสาวผู้มียศสูงกว่าให้นั่งในระดับเดียวกับตนด้วย และก่อนที่พันโทสาวจะชักปืนพกคู่ใจออกมาตามสัญชาติญาณความไม่ชอบมาพากล ก็ถูกมือหนาเทอะทะของเบรดาดึงศีรษะไปแนบชิดติดบานประตูพร้อมสัญญาณจุ๊ปากจากฟูรี่
หญิงสาวขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทีของทั้งสอง แล้วหัวคิ้วทั้งสองก็ย่นเข้าหากันมากขึ้นอีกเมื่อได้ยินเสียงแผ่วเบาที่ลอดออกมาจากห้องของสองพี่น้อง เสียงร้องครางเหมือนคนกินพริกขี้หนูสวนเข้าไปสิบเม็ดปลุกประสาทของหญิงสาวให้ตะลึงพรึงเพริด
เสียงคุ้นๆแบบนี้…ไม่ใสแจ๋วเหมือนของอัลฟอนเซ่ แต่ยังคงเป็นเสียงของเด็กชายที่ยังไม่ก้าวเข้าสู่วัยรุ่น และเมื่อห้องนี้เป็นของสองพี่น้องตระกูลเอลริคแล้ว เสียงครางปริศนานี้จะเป็นของใครไปได้กันเล่า!
แล้วริซ่าก็ไม่ต้องคิดให้ปวดหัวต่อไป เมื่อประโยคต่อมาบอกชัดๆว่าใครคือเจ้าของเสียงครางรัญจวนใจนั้น…
“ร้องดังๆก็ได้ครับพี่ ไม่ต้องฝืนหรอก”
“ผู้ชายที่ไหนจะร้องครวญครางเป็นผู้หญิงกันเล่า!”
สำนวนห้วนๆแบบนี้…
น้ำเสียงเอาแต่ใจแบบนี้…
ของเอ็ดเวิร์ดแน่ๆ!!
แต่แล้วเจ้าของคำพูดนั้นก็ต้องร้องครางดังขึ้นอย่างระงับไม่อยู่ ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม ผู้แอบฟังหน้าห้องทั้งสามไม่อาจคิดในแง่ดีงามได้ทั้งสิ้น และยิ่งคิดดีๆไม่ออกมากขึ้นเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของเอลริคคนน้อง
“อยู่กันสองต่อสองแบบนี้จะไปอายใครล่ะครับ อยากร้องก็ร้องมาเถอะ ผมจะได้ออมแรงให้ไง เดี๋ยวพี่ขาดใจตายก่อน”
น้ำเสียงรื่นรมย์เช่นนั้น ฟังอย่างไรก็ไม่เห็นจะมีความเป็นห่วงเป็นใยในอาการของผู้เป็นพี่สักนิด อย่างที่รู้กันดีว่าอัลฟอนเซ่นั้นทั้งรักทั้งห่วงพี่ชายมากขนาดไหน เด็กคนนั้นไม่มีทางทำร้ายสายเลือดที่หลงเหลืออยู่ในโลกนี้เพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว บางทีเอ็ดเวิร์ดอาจไม่ได้รับอันตรายอย่างที่คิดไว้แต่แรกก็ได้กระมัง
“แค่นี้ไม่…เท่าไรหรอกน่า นายจะออมแรงทำ…บ้าอะไร”
ดูเหมือนเอลริคคนพี่จะพยายามกัดฟันพูดเสียมากกว่า ถ้อยคำถึงได้กระท่อนกระแท่นเช่นนั้น และสองหนุ่มหนึ่งสาวหน้าห้องก็ต้องขนลุกชันทั้งร่างเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะหยาดเย็นดั่งฆาตกรจิตวิปริตในห้องนั้น
“หึ หึ หึ…ถ้าพี่พูดถึงขนาดนี้ล่ะก็ ผมจะใช้ท่าใหม่ที่เพิ่งเรียนมากับพี่ล่ะ!”
จากนั้นความเงียบก็เข้าครอบคลุมทั้งในห้องและนอกห้องเป็นเวลาไม่ถึงนาที แต่สามทหารเสือจำเป็นกลับรู้สึกว่ายาวนานราวฤดูหนาวที่ไม่มีวันสิ้นสุด แต่สุดท้ายเสียงที่แทรกทำลายความเงียบขึ้นมานั้นกลับแปรเปลี่ยนอุณหภูมิภายนอกให้ร้อนระอุราวอยู่กลางทะเลทรายเสียนี่
“โอ๊ย! ไม่เอาแล้วอัล! มันเจ็บนะ!”
เสียงโวยวายดังขนาดที่ถึงไม่แนบหูกับประตู เพียงอยู่หน้าห้องในระยะเอื้อมมือเคาะก็ยังได้ยินอย่างชัดเจนทำให้ทั้งสามคิดว่าเหตุการณ์ภายในห้องคงถึงขั้นวิกฤตแล้วเป็นแน่ เพราะฟูลเมทัลนั้นไม่ใช่คนที่จะร้องแรกแหกกระเชอกับความเจ็บปวดใดง่ายๆ และสำหรับเด็กที่ต้องรับการผ่าตัดใส่ออโต้เมล์ถึงสองชิ้นเมื่ออายุเพียงสิบเอ็ดปีคงไม่มีความเจ็บปวดใดที่ไม่อาจทานทนแล้วล่ะ
“ไม่ได้ครับพี่ มาถึงขั้นนี้แล้วผมเลิกกลางคันไม่ได้หรอกครับ!”
น้ำเสียงรื่นเริงของเอลริคคนน้องเหมือนได้ของเล่นถูกใจ ตามด้วยเสียงหัวเราะร่าเริงราวเด็กน้อยไร้เดียงสาช่างขัดกับประโยคที่กล่าวออกมาเช่นนั้นยิ่งนัก ทำเอาผู้แอบฟังทั้งสามหัวใจเต้นรัวเร็ว ความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นชำแรกแทรกซึมเข้าไปทุกรูขุมขนจนหลงลืมจุดประสงค์ของตนเองในการมาเยือนห้องนี้ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ฟูรี่นั้นหมายใจจะมาชวนอัลฟอนเซ่ไปเล่นกับแมวของสาวๆในโรงครัว ส่วนเบรด้านั้นตั้งใจจะมาชวนเอ็ดเวิร์ดไปคุยที่โรงอาหาร เพื่อให้เล่าวีรกรรมที่เพิ่งไปก่อมาตามปกติ สำหรับริซ่าคงไม่ต้องบอกอีกครั้งว่ามาที่นี่ทำไม แต่ปัญหาคือสามคนนี้ตั้งใจจะทำอะไรต่อไปเมื่อมีเหตุอันเย้ายวนใจให้ละเลยหน้าที่เช่นนี้ ดีไม่ดีจะเชิญชวนให้เพิกเฉยต่อมนุษยธรรมไม่เข้าไปขัดขวางการทารุณกรรมเด็กด้วยซ้ำ
และแล้วก็เหมือนพระมาโปรด เสียงห้าวๆดังขึ้นเบื้องหลังทั้งสามที่เกาะกลุ่มกันแน่นโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินเสียงร้องครวญครางไม่ขาดระยะจากนักเล่นแร่แปรธาตุตัวน้อย
“ทำอะไรกันอยู่หือ…ครับ! ร้อยเอกริซ่า”
Jean Havocนั่นเอง…ทีแรกเขาเห็นเพียงร่างเล็กบางของฟูรี่กับร่างหนาเทอะทะของเบรด้าเท่านั้น เพราะริซ่ายืนอยู่หน้าสุดของกลุ่มจึงโดนชายร่างยักษ์แต่ใจเสาะบังเสียมิดเมื่อมองในมุมที่เขาเดินมา หากแต่สายตาคมกริบของริซ่าที่สั่งให้หุบปากโดยอัตโนมัติก็ทำให้นายทหารหนุ่มผู้จงรักภักดีต่อผู้พันรอย มัสแตงยิ่งชีวิตเดินอย่างเงียบงันมารวมกลุ่มกับทั้งสาม และก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดที่เหมือนจะเบาลงไปได้พักหนึ่ง
“โอ๊ย! ไอ้น้องบ้า ไอ้น้องโรคจิต กล้าทำทารุณกรรมพี่ชายตัวเองได้ลง“นี่มันอะไรกันครับ?”
ร้อยโทหนุ่มถามร้อยเอกสาวทางสายตา และคำตอบที่ได้รับกลับมาทางเดียวกันก็คือ…
‘ฟังเงียบๆเหอะน่า!’
เวลาผ่านไปเสียงสบถก่นด่าน้องชายตัวเองของเอ็ดเวิร์ดก็ค่อยๆแผ่วเบาลงไป เสียงหอบครางเหมือนคนเพ้อด้วยพิษไข้ลุกลามอย่างหนักเร้นลอดผ่านบานประตูไม้ออกมาแทน บัดนี้คนทั้งสี่รู้ดีว่าเจ้าของเสียงครวญครางนั้นคงเพ้อด้วยพิษภัยอย่างอื่นมากกว่าไข้หวัดธรรมดาเป็นแน่ อารมณ์ภายในจึงคุกรุ่นร้อนรุ่มด้วยจินตนาการอันบรรเจิดเพริศแพร้วตามเสียงสดับที่ไม่ขาดระยะนั้น จนกระทั่งเสียงของเด็กชายไร้ร่างเนื้อดังขึ้นอีกครั้ง
“หายปวดเมื่อยแล้วใช่ไหมล่ะครับ? ท่าฤาษีดัดตนเนี่ยผมฝึกแทบตายเพื่อพี่โดยเฉพาะเลยนะ”
น้ำเสียงใสแจ๋วดั่งเด็กน้อยไร้เดียงสาสมอายุครานี้ทำให้ทหารทั้งสี่หน้าประตูตาค้าง และประโยคต่อมาของเจ้าเด็กที่ร้องโวยวายน่าระทึกขวัญเมื่อไม่กี่นาทีมานี้ก็ตอกย้ำความเป็นจริงยิ่งขึ้น
“ก็นายทำยังกะจะหักขาฉันเลยนี่นา แล้วยังมาบิดไหล่บิดคอจนแทบจะหมุนได้รอบอีก”
เอ็ดเวิร์ดแหวเสียงใส่อย่างไม่จริงจังนัก ท่าทางจะสบายเนื้อสบายตัวแล้วกระมัง
“ก็ใครใช้ให้พี่นอนตกเตียงล่ะ ผมอุตส่าห์จับเส้นคลายจุดให้จนหายดีแล้วแท้ๆเลยนะ”
เสียงขำขันของอัลฟอนเซ่ เด็กน้อยที่มีกายเป็นชุดเกราะตอกย้ำความรู้สึกผิดที่คิดไม่ดีต่อสองพี่น้องในใจสามหนุ่มหนึ่งสาวอย่างแรง
แต่ประโยคต่อมาของเจ้าเด็กที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบถึงหนึ่งในสามของร่างกลับกระตุกหั“ฉันไม่ได้อยากตกเตียงสักหน่อย ไอ้ผู้พันหัวลูกชิ้นมันทำต่างหาก!”
น้ำเสียงเอ็ดเวิร์ดกระเง้ากระงอดเหมือนเด็กกำลังฟ้องผู้ปกครองว่าโดนรังแกอย่างไรอย่างนั้น
และคำปลอบโยนของน้องชายก็เหมือนคุณแม่กล่อมลูกเช่นกัน แต่ความหมายค่อนข้างน่าหวาดระแวงอยู่สักหน่อย
“ก็พี่อยากขัดขืนเองนี่ครับ ยอมๆไปซะก็สิ้นเรื่อง พี่บอกเองนะว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้มีโอกาสได้ข้อมูลของศิลาแห่งปราชญ์”
“เฮ้ออออ…นั่นสินะ!”
เสียงเอ็ดเวิร์ดถอนใจยาว ตามด้วยความเงียบงันภายในห้องนั้นและในสมองของทหารทั้งสี่...
บัดนี้พวกเขาต่างหลงลืมวัตถุประสงค์ในการมาเยือนห้องของสองพี่น้องเอลริคเสียสนิท...
สำหรับฟูรี่และเบรดานั้นไม่มีปัญหาอะไร ฮาวอคเองก็เช่นกัน เพราะพวกเขาเพียงแค่เดินกลับไปทางใครทางมันอย่างเหม่อลอยจนหัวโขกเสา เท้าเตะมุมผนังไปตลอดทางเอง
แต่ริซ่านี่สิ…ต้องกลับไปพบผู้พันรอยนั่งหน้าหงิกเมื่อไม่เห็นเด็กที่เรียกมาตามคำสั่ง แล้วยังต้องหงุดหงิดหัวใจเมื่อผู้บังคับบัญชาใช้โทรศัพท์ของราชการโทรนัดสาวไปดินเนอร์ต่อสองหูสองตา อีกทั้งคำพูดกำกวมของสองพี่น้องเกี่ยวกับชายตรงหน้ายิ่งทำให้สับสนขึ้นไปอีก!
‘อย่างนี้ต้องตามสืบ หากผู้พันทำอะไรผิดกฎกองทัพ ฉันไม่เอาไว้แน่!’
ริซ่าคิดในใจพลางนั่งทำงานต่อไปโดยทำเป็นไม่สนใจอาการหัวงูของผู้พันขณะนั่งจีบสาวผ่านสายโทรศัพท์อย่างไม่สนว่ายังอยู่ในเวลาราชการ หัวใจนักแอบฟังทั้งสี่จนแทบหยุดเต้น!! East Headquarter, Military Dorm…
เย็นย่ำค่ำวันเสาร์เช่นนี้ไม่ค่อยมีทหารพักอยู่ในหอนัก หากไม่ตั้งวงก๊งเหล้ากันที่บาร์เจ้าประจำ ก็ต้องสุมหัวสนทนากันอยู่ในโรงอาหาร หายากนักที่จะปักหลักอยู่ในห้องส่วนตัวตั้งแต่ราตรียังเยาว์วัย
ถึงกระนั้นก็ยังมีห้องหนึ่งเปิดไฟเรืองๆ พอมองเห็นเงาร่างขนาดยักษ์ที่ดูแข็งกระด้างดั่งมิใช่ร่างมนุษย์ ร่างนั้นกำลังยืนพิงผนังข้างประตูอยู่ ท่าทางกอดอกกับผ้ากันเปื้อนที่สวมใส่ชวนให้นึกถึงคุณแม่ร่างยักษ์เจ้าระเบียบยิ่งนัก แต่อีกร่างที่นั่งบนเตียงอย่างสบายๆคงไม่ใช่ลูกชายกระมัง
"พี่ไปเล่นกับเจ้าแบล็กฮายาเตะจนมอมแมมไปหมด ผมเลยไล่ไปอาบน้ำครับ"
Alphonseพูดจาอย่างสุภาพ ท่าทางสงบเสงี่ยมเหมือนรายงานความประพฤติต่อผู้ใหญ่ และดูเหมือนคู่สนทนาจะอาวุโสกว่าจริงๆ
"เพิ่งหายดีก็ไปออกแรงอีกแล้วรึ?"
น้ำเสียงขึ้นสูงกึ่งขบขันกึ่งประหลาดใจ และคนพูดก็เหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากนิดหนึ่งเพียงเสี้ยววินาที จนน้องชายของFull Metal Alchemistไม่ทันสังเกตเพราะมัวหมั่นมองผ่านตาแมวดูว่าพี่ชายกลับมาหรือยังอยู่นั่น
"หวังว่าคราวนี้คงไม่ขัดขืนจนตกเตียงอีกนะ…"
ผู้มาเยี่ยมเยือนสองพี่น้องยามสายัณห์กล่าวล้อเลียนอุบัติเหตุคราวก่อน อันเนื่องมาจากความขี้เล่นของตนและความไร้เดียงสาของเด็กน้อยครึ่งคนครึ่งเหล็ก
"ผมสั่งสอนพี่ไปแล้วครับ คิดว่าคงยอมดีๆ"
อัลฟอนเซ่ทำเสียงหงอยๆ พลางก้มหน้างุด มือเหล็กบิดกันไปมาบ่งบอกว่าเจ้าตัวก็ไม่แน่ใจนักว่าพี่ชายจะเข้าใจความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้นหรือไม่ สงสัยคงได้เล่นท่าฤาษีดัดตนกันอีกยกหลังคืนนี้กระมัง…
จากนั้นความเงียบก็เข้าครอบคลุมห้องของสองพี่น้องเอลริค เช่นเดียวกับความเงียบงันนอกหน้าต่างห้องที่มีร่างสองร่างซุ่มฟังอยู่ เมื่อแขกผู้มาเยือนเดินมาเปิดหน้าต่างรับลมเย็นๆนั้น นักถ้ำมองมือสมัครเล่นทั้งสองถึงกับลืมหายใจ หากผู้บังคับบัญชาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเมื่อไรต้องเห็นเขาสองคนเป็นแน่!?!
"ไม่น่าร่วมมือกับร้อยเอกริซ่าเลย! โดนจับได้มีหวังถูกย้ายไปประจำชายแดนแน่!!"
Jean Havocบ่นกระปอดกระแปดอยู่ในใจ ขณะเล่นกายกรรมปีนป่ายผนังตึกหออยู่กับนายทหารรุ่นน้อง Fury เมื่อผู้พันของตนเดินละจากหน้าต่างไปแล้วจึงได้หย่อนร่างลงมาเกาะขอบหน้าต่างเช่นเดิม
ห้องของสองพี่น้องนักเล่นแร่แปรธาตุอยู่ชั้นสอง ไม่สูงเกินกว่าจะไต่จากดาดฟ้าลงมา และไม่เตี้ยเกินไปถ้าคิดจะโหม่งหัวฆ่าตัวตาย หรือถึงแม้จะเอาแขนขาลง หากไม่ใช่ผู้ฝึกฝนอย่างช่ำชองคงมีอาการซ้นเกิดขึ้นบ้าง ดังนั้นฟูรี่ขี้แหยกับฮาวอคขี้หลีจึงระมัดระวังอย่างมาก ไม่ให้ทั้งเจ็บตัวและถูกจับได้ว่ามาแอบมองเรื่องส่วนตัวของผู้เป็นนาย
แกร๊ก!
เสียงเปิดประตูบ่งบอกว่าเจ้าของห้องอีกคนกลับมาแล้ว และสิ่งยืนยันชัดเจนก็คือเสียงร้องโวยวายด้วยความตกใจที่เห็นแขกไม่ได้รับเชิญ ตามด้วยเสียงกระทบกระทั่งของโลหะสองชนิด และเสียงใสๆ อ่อนๆของเจ้าเด็กไร้เลือดเนื้อที่พยายามกีดกั้นไม่ให้พี่ชายหนีออกนอกห้องไปได้
"ปล่อยชั้นนะอัล! คิดจะขายพี่จริงๆใช่ไหม? ถึงยอมให้หมอนี่เข้ามาถึงเตียง!"
ระดับเสียงของEdward Elricนั้นไม่เบาเลย หากใครเดินผ่านไปผ่านมาได้ยินเข้าคงสะดุ้งเป็นแน่ โชคดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์ ซ้ำยังย่ำค่ำ จึงปราศจากผู้ใดได้ยิน หากว่าผู้นั้นไม่ได้ตั้งใจมาแอบฟังโดยเฉพาะนะ
"โธ่…พี่ครับ ก็พี่ไม่ยอมไปเองนี่ ผู้พันถึงได้มาจัดการถึงห้อง"
เสียงอ่อนๆ หงอยๆของน้องชายนักเล่นแร่แปรธาตุร่างเล็กกว่าเด็กในวัยเดียวกันช่างขัดกับการลากพี่ชายที่ทั้งเตะทั้งถีบเป็นแมวอันธพาลมายังเตียงอย่างดุดันยิ่งนัก
ฮาวอคและฟูรี่ที่กำลังจ้องมองจากข้างนอกถึงกับอ้าปากค้างเมื่อร่างบอบบางเพราะโดนผู้บังคับบัญชาใช้งานอย่างหนักนอนลงบนเตียง
ไม่สิ…
ความจริงต้องเรียกว่าถูกจับกดลงบนเตียงต่างหาก...
ด้วยน้ำมือของน้องชายเพียงคนเดียวเสียด้วย!
"ถอยไปนะ!"
เอ็ดเวิร์ดร้องเสียงหลงเมื่อเห็นผู้พันกำลังย่างสามขุมเข้ามา ในมือถือบางสิ่งที่ทั้งใหญ่ทั้งยาว คราวก่อนเด็กน้อยดิ้นหนีจนตกเตียง แต่ก็ยังคงโดนวัตถุน่ารังเกียจที่เขาเห็นมันมาตั้งแต่เล็กทิ่มแทงอยู่ดี
Roy Mustangอมยิ้มอย่างขำขันเมื่อเห็นสีหน้าหวาดหวั่นของเด็กใต้บังคับบัญชา
อะไรจะกลัวขนาดนั้น? ยังกับไม่เคยมาก่อนงั้นล่ะ!
เอ…หรือเพราะว่ามันใหญ่เกินไปก็เลยต้องกลัวเป็นธรรมดา?
คิดไปคิดมาก็นึกวิธีกลั่นแกล้งแมวน้อยตรงหน้าให้ออกอาการน่ารักน่าหยอกจนได้ ชายหนุ่มนั่งลงบนเตียงเคียงข้างร่างเล็กๆที่มีกลิ่นสบู่เด็กหอมอ่อนๆลอยมากระทบนาสิก สร้างอารมณ์บางอย่างให้ลุกโพลงขึ้นอย่างรวดเร็ว สายตาตวัดไปยังอัลฟอนเซ่ซึ่งยังยืนเป็นเงาเงื้อมทะมึน คุมเชิงพี่ชายไม่ให้สำแดงฤทธิ์เดชอีก หรือบางทีอาจจะแค่คอยดูแลไม่ให้พี่ชายตกเตียงรอบสองก็ได้ แต่การที่เด็กน้อยผู้มีร่างกายเป็นเกราะเหล็กขนาดยักษ์ยืนอยู่ข้างหน้าต่างซึ่งติดกับหัวเตียงก็ได้บดบังสายตาสอดรู้สอดเห็นสองคู่อย่างเหมาะเจาะ และแม้นายทหารนักถ้ำมองทั้งสองจะรู้สึกขัดใจเพียงใดก็ไม่กล้ากระโตกกระตากให้คนในห้องรู้สึกตัว ได้แต่ปีนกลับไปด้านบนและห้อยหัวลงมาเป็นค้างคาวเพื่อเงี่ยหูฟังสถานเดียว
"อัลฟอนเซ่…ถ้าพี่นายยังกล้าขัดขืนฉันล่ะก็ จะไม่มีการออมมือแล้วนะ"
ผู้พันหนุ่มพูดขู่เด็กน้อยที่นอนตัวสั่นเทาทางอ้อม และดูเหมือนเด็กชายไร้ร่างเนื้อจะเข้าใจความนัยในดวงตาและข้อความประโยคนั้น จึงรับมุขได้อย่างเนียน
"ผมยกพี่ให้ผู้พันเลยครับ อยากทำรุนแรงแค่ไหนเชิญตามสบาย"
"แก๊! ไอ้น้องบ้า! น้องทรยศ! น้องทรพี! น้องไม่รักดี! น้องไม่มีมารยาท! ไอ้น้องเวร!!"
เอ็ดเวิร์ดด่าเป็นชุดด้วยอารมณ์ฉุนขาด พลางขยับร่างหมายจะซัดน้องชายสุดที่รักให้กระเด็นออกนอกหน้าต่าง แต่มืออันหนาหนักของมนุษย์อีกคนหนึ่งในห้องก็กดร่างเล็กๆนั้นให้นอนลงตามเดิม
"เลิกเล่นตัวซะที! เจ็บนิดเจ็บหน่อยทำเป็นทนไม่ได้ ทีแกยัดออโต้เมล์เข้าไปสองชิ้นนี่ยังเจ็บกว่าเยอะแท้ๆ!!"
ผู้พันหนุ่มยื่นหน้ากลมๆเข้าไปตะคอกใกล้ๆ ดวงตาเรียวเล็กสีนิลสนิทส่องประกายกล้าเมื่อเห็นเด็กชายทำท่าจะแหกปากร้อง พลางกดมือลงบนไหปลาร้าข้างซ้ายจนเด็กน้อยนิ่วหน้า
"ก็คนมันไม่ชอบนี่นา…จะโดนอีกกี่ร้อยกี่พันครั้งก็ไม่มีวันชอบหรอก"
นักเล่นแร่แปรธาตุวัยกระเตาะเมินหน้าที่ขอบตาเริ่มรื้นด้วยหยาดน้ำแห่งความอัดอั้นใจไปทางหน้าต่าง ดวงเนตรสีทองสดใสสบกับนัยน์ตาเรืองแสงแวววาวอย่างจงใจถ่ายทอดประกายตาปิ๊งๆที่ใช้ได้ผลเสมอไม่ว่ากับเพื่อนสาวหรืออาจารย์ และคราวนี้แม้แต่กับน้องชายร่วมสายเลือดก็ไม่มีวันรอดพ้นเช่นกัน(มั้ง)
"พี่ครับ…"
อัลฟอนเซ่เอ่ยอย่างลำบากใจ หากร่างเนื้อยังอยู่คงได้เห็นใบหน้าแดงซ่านด้วยความอุธัจยามสบสายตาเว้าวอนชวนเย้ายวนใจของพี่ชาย แต่ในเมื่อมีร่างเป็นเกราะเหล็กเช่นนี้ อวัจนภาษาที่ส่งมายังผู้รับจึงเป็นเพียงการเสหน้าไปทางอื่นที่ไม่มีดวงตาสีทองแสนหวานล้ำคู่นั้นจับจ้อง พร้อมคำพูดอ่อนๆเหมือนไม่กล้าปฏิเสธพี่ชายร่วมอุทร
"ทำอย่างนี้ผมก็ลำบากใจแย่สิครับ ที่ทำไปทั้งหมดนี่ก็เพราะผมรักพี่หรอกนะ"
"ใช่…"
ผู้พันหนุ่มหน้าตี๋ใช้มืออีกข้างเชยคางเด็กในสังกัดให้หันมาประจันหน้าพลางกล่าวเสียงเยียบเย็น
"ที่ฉันลงทุนลงแรงขนาดนี้ก็เพื่อแกคนเดียวเลยนะ"
"ไม่ต้องการโว้ย!"
เอ็ดเวิร์ดว่าดังนั้นก่อนยันผู้พันตกเตียงด้วยหมัดเหล็กข้างขวา แม้Flame Alchemistจะหลบได้ด้วยความว่องไวเท่าที่ร่างหนาๆจะทำได้ก็ยังเจ็บแปลบที่สะบักซ้ายอย่างแรง จึงเผลอเสียการทรงตัว เอียงเค้เก้ลงไปกองที่พื้น เป็นโอกาสให้ไอ้เด็กเนื้อครึ่งเหล็กครึ่งได้ยืดเส้นยืดสาย
จากนั้นสิ่งที่นายทหารทั้งสองผู้ริอ่านทำตัวเหมือนพวกโรคจิตได้ยินก็คือเสียงเพลงแม่ไม้มวยไทยดังสนั่นเสนาะหู และเสียงใสๆอ่อนๆของเอลริคคนน้องที่พยายามเป็นกรรมการแยกมุมแดงกับมุมน้ำเงินซึ่งกำลังเข้าคลุกวงในอย่างเมามันออกจากกัน ตามด้วยเสียงสุดท้ายที่ทำเอาฮาวอคกับฟูรี่ต้องสบตากันโดยอัตโนมัติ และพร้อมใจกันยอมเสี่ยงย้ายนิวาสถานไปนอนคุกขี้ไก่ด้วยการตะกายลงมามองเหตุการณ์ระทึกขวัญให้เห็นจะจะตา
บรึ้ม!
ยังไม่ทันได้มองว่าอะไรเป็นอะไร เสียงระเบิดพร้อมควันไฟก็พุ่งเข้าปะทะหน้าซีดๆของสองนายทหารหนุ่มจังๆจนแสบตา คัดจมูก หูอื้ออึง มือไม้พาลอ่อนจนเกาะขอบหน้าต่างไม่อยู่ ร่วงลงสู่พื้นถนนเบื้องล่าง
ตุ้บ! พลั่ก!
ฟูรี่และฮาวอคนึกว่าจะได้ขึ้นสวรรค์เสียแล้ว เพราะเล่นกายกรรมเอาหัวลงแบบนี้คงไม่รอด จึงเอาแต่หลับตาปี๋จนกระทั่งรู้สึกว่าพื้นมันนุ่มนิ่มพิกล เมื่อขวัญกลับคืนมาจึงกล้าเงยหน้าดูแล้วก็แทบอยากร้องไห้
ฟูกมีชีวิตที่ช่วยเขาทั้งสองไว้คือ…
"ร้อยเอกริซ่า!"
นายทหารหนุ่มผมบลอนด์ร้องเสียงเบาหวิวเมื่อตระหนักชัดว่ามือของตนวางอยู่บนร่างกายส่วนใดของหญิงสาว แต่ก่อนที่เขาจะสิ้นชีวีด้วยปืนที่ขึ้นนกปลดเซฟเรียบร้อยในมือทหารสาว ฟูรี่ซึ่งหายมึนพอดีก็กู้สถานการณ์ได้ทันโดยไม่ตั้งใจ
"เอ็ดเสียท่าแล้วครับ รีบไปห้ามเร็วๆเถอะครับ!"
นายทหารผู้อาวุโสอ่อนสุดในกลุ่มหากไม่นับเจ้าเด็กที่กำลังบู๊ดุเดือดอยู่ข้างบนแทบจะกึ่งลากกึ่งจูงหัวหน้าหน่วยสืบเรื่องลับๆของผู้บังคับบัญชาไปยังที่เกิดเหตุตามทางปกติ ฮาวอคเลยพอมีเวลาขอบคุณสวรรค์ที่รอดตายมาได้ก่อนกะย่องกะแย่งตามไปติดๆ
เมื่อทั้งสามมาถึงหน้าห้องพักที่กลายเป็นสมรภูมิรบย่อมๆก็พบนายทหารเบรด้ายืนหน้าซีดตัวสั่นอยู่ สายตาจับจ้องบานประตูซึ่งแปะป้าย E. Elric เหมือนเป็นสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งในเจ็ดของโลก นิ้วอวบอูมชี้ไปยังประตูห้องด้วยอาการสั่นระริก ปากพะงาบๆเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับไร้เสียงใดๆเล็ดลอดออกมา แต่ผู้มาใหม่ทั้งสามก็ไม่ต้องเสียเวลาตีความเมื่อหนึ่งในเจ้าของห้องส่งเสียงสยองประสาทลอดออกมาดังลั่นปานนั้น
"โอ๊ย! เอาออกไปนะ เจ็บ!!"
เอ็ดเวิร์ดทำเสียงแง้วๆเหมือนลูกแมวโดนแหย่ ฟังผ่านๆก็น่ารักอยู่หรอก แต่ไม่ใช่ในสถานการณ์คลุมเครือเช่นนี้แน่
"เป็นลูกผู้ชายหัดทนหน่อยเซ่ เกือบเสร็จแล้ว"
ผู้พันรอยทำเสียงรื่นเริงบันเทิงใจเสียเหลือเกิน จนผู้อยู่นอกห้องเริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์ในห้องชักเลวร้ายลงเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อนึกถึงยามผู้บังคับบัญชาต่อปากต่อคำกับเจ้าเด็กไม่ยอมกินนมอย่างสนุกสนาน ดวงตาพราวระยับ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต่งแต้มบนริมฝีปากบางบ่อยๆ ก็ยิ่งจินตนาการเหตุการณ์ในห้องไปในทางมืดมนลงทุกที
"ฮึก…ฮึก"
ฟูลเมทัลทำเสียงสั่นระริก สะอึกสะอื้นเบาๆแต่ยังดังพอให้คนข้างนอกได้ยิน ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกสงสารยิ่งนัก ยิ่งในหัวสมองของลูกน้องผู้พันทั้งสี่กำลังจินตนาการไปไกลสุดกู่ด้วยแล้ว…
ความสงสารเด็กน้อยยิ่งทับทวี!
"เสร็จซะที"
เสียงเริงร่าของเฟลม อัลเคมิสท์เรียกสติสัมปชัญญะของทหารทั้งสี่กลับสู่โลกความเป็นจริงทันตาเห็น และก็ต้องขวัญผวาประสาทกระเจิงเมื่อเจ้าเด็กร่างเล็กเพราะไม่ยอมกินนมร้องลั่นคำรบสอง
"โอ๊ย! อย่าถอนกะทันหันเซ่! มันเจ็บนะโว้ย"
"อะไรกัน…ชอบให้เสียบนานๆก็ไม่บอก คราวหน้าจะได้แทงลึกๆหน่อย"
คนฟังนอกห้องพยายามคิดในแง่ดีว่าผู้พันแค่แหย่ลูกน้องตัวกะเปี๊ยกเล่น แต่ทำไมแต่ละคำถึงได้ช่างชวนให้นึกถึงภาพระดับฮาร์ดคอร์เสียจริง แล้วทหารทั้งสี่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงของเอลริคคนน้องตะเบ็งลั่นด้วยระดับไม่น่าจะต่ำกว่าเก้าสิบเดซิเบล
"อ๊า! เลือดไหลโชคเลย พี่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?"
อัลฟอนเซ่วิ่งตึงตังไปหาพี่ชายเป็นแน่ พื้นสะเทือนมาถึงข้างนอกขนาดนี้
"เป็นซิ! นายอยากให้ฉันเจ็บตัวอยู่แล้วไม่ใช่รึไง"
เอลริคคนพี่ทำเสียงกระเง้ากระงอดเหมือนลูกแมวแสนดื้อดึง ท่าทางจะไม่โกรธน้องชายเท่าไรเพราะประโยคต่อมาที่กล่าวพาดพิงบุคคลที่สามในห้องนั้นแสดงโทสะชัดเจนกว่าเยอะ
"ไม่เหมือนใครบางคนหรอก ทำอะไรไม่เคยออมมือเล้ย!"
"อ้าว…พูดงี้เดี๋ยวโดนอีกสักรอบหรอก บอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามขัดขืน นี่เล่นซะฉันปากแตกเลยนะ โดนแค่นี้ถือว่าเบาะๆด้วยซ้ำ"
น้ำเสียงผู้พันออกแนวภูเขาไฟใกล้ระเบิด ร้อยเอกริซ่าซึ่งรับใช้ใกล้ชิดมานานรู้ดีว่าถ้าไม่เข้าไปห้าม คงได้ยินเสียงระเบิดอีกสักสองสามรอบเป็นแน่ แต่หญิงสาวก็จนใจเนื่องจากคิดหาวิธีบุกเข้าไปข้างในอย่างไม่น่าสงสัยไม่ได้ ครั้นจะให้เคาะประตูห้องเพื่อให้คนข้างในมาเปิด หลักฐานต่างๆอาจถูกทำลายราบคาบเสียก่อน จะจับให้ได้คาหนังคาเขาโดยเผื่อกรณีหน้าแตกไว้ด้วยก็ต้องวางแผนกันหน่อยล่ะ
แต่หญิงสาวก็ขาดสติจนทำเรื่องเสี่ยงถูกขังคุกขี้ไก่จนได้ ด้วยประโยคต่อมาของผู้บังคับบัญชา
"ทีนี้ก็อมนี่ซะ!"
เปรี้ยง!
ริซ่าตัดสินใจใช้กระสุนแทนกุญแจเมื่อฟางเส้นสุดท้ายร่วงลงบนหลังตน เช่นเดียวกับนายทหารอีกสามหน่อที่พร้อมใจกันกรูเข้าไปเพื่อห้ามการกระทำที่คิดกันเอาเองว่าผิดกฎกองทัพอย่างใหญ่หลวง แล้วภาพแห่งความเป็นจริงตรงหน้าก็ทำให้ทั้งสี่แข็งเป็นหินดุจต้องคำสาปเมดูซ่าในพริบตา…
"มีอะไรกัน? ร้อยเอกริซ่า"
ผู้พันรอยถามเสียงเรียบ ไม่แสดงอาการสะทกสะท้านต่อการบุกรุกที่รโหฐานยามวิกาลด้วยฝีมือลูกน้องตนเอง
"พวกเราได้ยินเสียงระเบิดที่ห้องนี้เลยรีบมาตรวจสอบค่ะ"
หัวหน้าหน่วยสอดแนมเรื่องส่วนตัวผู้บังคับบัญชารีบตอบอย่างฉาดฉานเพื่อไม่ให้เกิดพิรุธ ผู้ติดตามอีกสามก็ทำหน้าตาโง่เง่าเหมือนปกติ จึงไม่มีสิ่งใดให้ผู้พันหนุ่มสังเกตเห็นความผิดแปลกแต่อย่างใด
"ไม่มีอะไรมากหรอก แค่สั่งสอนเด็กอวดดีนิดหน่อยเท่านั้น แต่พวกเธอมาก็ดีแล้ว ช่วยอัลฟอนเซ่เก็บกวาดหน่อยแล้วกัน ฉันยังจัดการกับเจ้าเด็กนี่ไม่เสร็จ"
แล้วผู้พันที่หน้าตากับนามสกุลไม่น่าไปด้วยกันได้ก็หันไปเอ็ดตะโรใส่ลูกน้องที่อายุน้อยที่สุดในประวัติการก่อตั้งกองทัพ
"บอกให้อมไงเล่า! ห้ามคายออกมาตอนนี้นะเฟ้ย!!"
สั่งเสร็จก็กดหัวลูกน้องที่ทนมือทนตีนสุดๆให้นอนคว่ำตามเดิม เด็กชายตะแคงหน้ามุ่ยๆ แก้มตุ่ยๆเพราะแท่งเล็กๆในปากไปทางน้องชายที่ง่วนอยู่กับการเก็บกวาดเศษซากสิ่งเกรียมๆที่น่าจะเคยเป็นเตียงมาก่อน ดวงตาสีทองสุกใสเหมือนลูกแมวน้อยยังคงร่องรอยแดงช้ำเหลือให้ผู้พบเห็นใจหาย และผ้าพันแผลผืนโตตรงข้อแขนพับข้างซ้ายก็ทำให้กลืนน้ำลายไม่ค่อยลงเช่นกัน ท่าทางผู้พันจะรุนแรงมากเลยนะนั่น(>.<
"ผู้พันมาทำอะไรในห้องนี้คะ?"
ริซ่าที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเอ่ยถามให้หายคาใจ
"มาฉีดวัคซีนให้เจ้าเด็กดื้อนี่น่ะซิ! ตอนนี้หัดเยอรมันกำลังระบาดในเมือง หมอก็ประกาศให้เด็กๆไปฉีดวัคซีนแต่เจ้าหมอนี่ไม่ยอมไป ฉันเลยต้องรับยามาฉีดให้เอง เดี๋ยวมันไม่สบายขึ้นมาจะใช้งานไม่สะดวก"
นายทหารชั้นสัญญาบัตรตอบชัดถ้อยชัดคำ แต่สี่ทหารเสือก็ยังคาใจเรื่องเสียงกรีดร้อง เสียงร้องไห้ และการลงไม้ลงมือถึงขั้นเล่นระเบิดอยู่ดี
"คือพี่เค้าไม่ถูกกับเข็มฉีดยามาตั้งแต่เด็กแล้วน่ะครับ ปกติก็กินยาอย่างเดียว"
อัลฟอนเซ่ เอลริครีบอธิบายเมื่อเห็นสายตาแปลกๆที่จับจ้องพี่ชายของตน สายตากึ่งตำหนิกลายๆทำให้เด็กน้อยในชุดเกราะอุปทานเสียวสันหลังวาบๆแทนเอ็ดเวิร์ดผู้นอนนิ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวยิ่งนัก
"คายได้ยัง?"
ฟูลเมทัล อัลเคมิสท์กล่าวเป็นครั้งแรกหลังจากเหตุการณ์กลับสู่ความสงบ แต่อารมณ์คุกรุ่นในใจทหารทั้งสี่ไม่สงบแน่ๆ
"หันหน้ามาซิ"
รอยสั่งเสียงเรียบ น้ำเสียงบ่งบอกสภาวะอารมณ์กลับมาเป็นปกติ ชายหนุ่มหยิบปรอทแก้วในปากเด็กชายมาดู เมื่อเห็นสีแดงเลื่อนไปอยู่ตรงเลข38ก็ยิ้มบางๆ
"มีไข้เล็กน้อย แสดงว่าวัคซีนได้ผล คืนนี้ก็นอนให้เต็มที่แล้วพรุ่งนี้ไปรับงานตอนบ่ายๆก็ได้"
เอลริคคนพี่เบิกตาโตกว่าปกติเล็กน้อยเมื่อได้รับคำสั่งพักจากปากผู้บังคับบัญชาเขี้ยวลากดิน ไม่เคยเลยที่เจ้าหัวลูกชิ้นนี่จะยอมให้ตนได้อยู่อย่างสบายๆ ใช้ไปโน่นมานี่ตลอด ดีอยู่อย่างเดียวที่ไม่เคยบ่นเวลาเด็กชายมั่วนิ่ม ส่งใบเสร็จค่าของเล่น หนังสือการ์ตูน ขนมขบเคี้ยวรวมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานมาเบิก และบางเวลาที่เด็กน้อยแอบโดดไปเที่ยวให้สบายใจค่อยกลับมาเขียนรายงาน แต่ทิฐิในใจก็ทำให้นักเล่นแร่แปรธาตุตัวกะเปี๊ยกต่อปากต่อคำจนได้
"แล้วจะให้พักที่ไหนล่ะ? นายเล่นทำห้องฉันซะเละอย่างนี้!"
ฟูลเมทัลทำเสียงแว้ดๆที่ฟังแล้วน่ารักน่าชังยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อเป็นเสียงจากร่างเด็กอายุสิบสี่ที่ดูยังไงก็เหมือนเด็กประถม นัยน์ตาสีทองสวยซึ้งทอประกายท้าทายผู้พันหนุ่มให้นึกอยากสยบเจ้าแมวพยศตัวนี้จนหมอบราบคาบแก้ว หมดสภาพพญาเสือผู้จองหองอีกคำรบยิ่งนัก คำตอบโต้จึงทำให้ลูกน้องอีกสี่นายรวมทั้งคู่กรณีเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน
"ถ้าไม่อยากนอนบนพื้นเย็นๆนี่ก็ไปนอนบ้านฉันได้นะ เจ้าเหล็ก"
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดพรายที่มุมปาก ดวงตารีเล็กสีนิลคู่นั้นระยิบระยับอย่างรื่นเริง ด้วยมั่นใจว่าเจ้าเด็กหัวแข็งตรงหน้าต้องอับจนคำโต้กลับที่สมน้ำสมเนื้อแน่นอน และเขาก็จะได้เห็นสีแดงระเรื่อเป็นริ้วลายพร้อยทั้งสองแก้มด้วยโมหะที่พ่ายแพ้เหมือนทุกครา แต่คราวนี้ผิดคาด!
"ให้พี่มานอนเตียงผมก็ได้ครับ ยังไงผมก็ไม่จำ
Fiction