(Review ของจริง) Doraemon The Movie 2011

อ่านก่อนนิดนึง



บทความนี้ คือบทความReview หนังในมุมมองของผมแค่คนเดียว ไม่ใช่มุมมองของคนส่วนมาก ฉะนั้นไม่แปลกถ้าท่านจะรู้สึก เอ๊ะทำไมนายไม่ชอบตรงนี้ เอ๊ะทำไมนายมาด่าเรื่องนี้ เอ๊ะนายบอกเรื่องนี้ดี นายเพี้ยนรึเปล่า อยากจะบอกว่า ผมเป็นแค่คนดูหนังคนนึง มิอาจสามารถเอาใจของคนทั่วโลกมารวมในคนเดียว แล้วประมวลคะแนนให้พอใจทุกคนได้ เพราะคนเราย่อมมีรสนิยมการดูหนังไม่เหมือนกันทุกคนครับ ฉะนั้น ถ้าอ่านReview ของผมแล้ว จงอย่าตัดสินทันที ขอให้พิสูจน์หนังเรื่องนั้นด้วยตัวท่านเอง ไม่แน่ หนังที่ผมบอกห่วย อาจเป็นหนังในใจท่านก็ได้ครับผม ด้วยความเคารพครับ



และขอความกรุณาอย่าSpoil หนังนะครับผม จะSpoil ก็ขอให้ใช้การซ่อนข้อความ



การติชมต่อผลงานของSoma สามารถเขียนได้ในกระทู้อย่างเปิดเผยและตรงๆอย่างไม่ต้องกังวล เข้ามาอ่านReview เล็กๆก่อนตัวเต็ม หรือถ้าใครที่เข้ามาอ่านธรรมดาแต่อยากติชม สามารถเข้าไปติได้ที่Facebook ของกระผมนะครับ



http://www.facebook.com/profile.php?id=100000512771067









Doraemon The Movie 2011 : Doraemon Shin Nobita to Tetsujin Heidan ~Habatake Tenshi Tachi~








แนวหนัง : อนิเมชั่น ดราม่า สงคราม



ตัวอย่าง








เรื่องย่อ



จากการที่โนบิตะไปขอร้องโดราเอม่อนให้เอาหุ่นยนต์ออกมาเพราะอิฉาซูเนโอะ ทำให้เค้าได้ไปพบชิ้นส่วนของหุ่นบยนต์ขนาดยักษ์ที่ขั๊วโลกเหนือ และขับเล่นในโลกกระจก จนกระทั้งหญิงสาวลึกลับที่ชื่อว่า ริลุลุ ได้ปรากฏตัวออกมาเพื่อขอหุ่นยนต์คืน และเธอก็มาพร้อมกับหายนะของโลกครั้งใหม่ที่พวกของโนบิตะต้องเผชิญ







มุมมองของ Soma



อย่างที่รู้กันว่าในปัจจุบันนี้ Doraemon ได้อยู่ในการรับผิดชอบของทีมงานใหม่ ซึ่งในไทยก็ยังคงมีกระแสต่อต้านเรื่องของลายเส้นที่ไม่เหมือนเดิม (และผมคงขี้เกียจเถียงแล้ว) แต่ถ้าใครได้ชมงานของทีมใหม่จะรู้ว่า แม้ทีมใหม่จะทำงานที่เป็นภาค Original ยังไม่ดีพอ แต่สำหรับ Remake พวกเค้าได้ทำออกมายอดเยี่ยมและไม่มีมาตราฐานตก ซึ่งมาถึงปีนี้ที่ทีมงานต้องมา Remake ภาคที่จัดได้ว่าคลาสสิคที่สุดภาคนึงใน Doraemon Movie ซึ่งก็คือ ภาคสงครามหุ่นเหล็ก นับว่าเป็นงานหินและต้องติดตามว่าทีมใหม่จะสามารถทำให้งาน Remake ชิ้นนี้ดีได้อย่างไรในเมื่อมาตราฐานของภาคนี้ตัวดั่งเดิมค่อนข้างสูงมาก และวันนี้หลังจากที่ผมดู ผมก็ขอบอกว่า



“นี้คือ Doraemon Movie ของทีมใหม่ที่สมบูรณ์ที่สุด และ เป็น1ในอนิเมชั่น Remake ที่ดีที่สุดในชีวิตผมที่ดูมา”







สิ่งแรกที่ทีมงานทำทุกครั้งที่มีภาค Remake คือการใส่เรื่องราวเพิ่มเติมเข้าไปเพื่ออุดช่องโหว่จากตัว Original แต่แรกมาด้วยบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไป แต่สำหรับภาคนี้สิ่งที่ขาดหายไปไม่ได้ลดตัวคุณค่าหรือกลายเป็นจุดด้อยของงานอีกแล้ว ทีมงานกล้าที่เปลี่ยนและใส่บทหัวสมองที่เป็นลูกเจี๊ยบนามว่าปิ๊บโป๊เข้ามาเพื่อเพิ่มบทของแก่ทีมของโนบิตะ เพราะถ้าใครดู Original จะรู้ว่าช่วงท้ายบทของพวกโนบิตะแทบจะถูกลืมหรือไม่จำเป็นต้องใส่มา แต่เมื่อมีปิ๊บโป๊เข้ามาทำให้บทของพวกโนบิตะเด่นชัดมากขึ้น อีกทั้งหนังยังทำบทของปิ๊บโป๊ไม่ได้น่ารำคาญเลยแม้แต่นิดเดียว (อาจมีบ้างช่วงแรกๆ) สำหรับริลุลุหนังไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากนัก แต่ที่ชอบคือการใส่ความรู้สึกนึกคิดของเธอเข้าไป ฉะนั้นในการกระทำของเธอหลายๆจุดในหนังนั้นจะรู้สึกมีพลังและน่าสงสารมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งไม่แปลกถ้าจะบอกว่าในเวอร์ชั่นนี้ท่านจะรักริลุลุมากกว่าเดิม (แต่ถ้าท่านชอบริลุลุที่แอบโหด อาจจะชอบออริจินอลมากกว่านะ)



ซึ่งความสัมพันธ์ของ2ตัวละครนี้ หนังจะไม่ทำเร่งรัดหรือบีบคั้นจนเกินไป แต่จะค่อยๆเป็นค่อยๆไป ค่อยๆเปิดเผยนิสัยของริลุลุและปิ๊บโป๊ ค่อยๆเปิดใจ2ตัวละครนี้ผ่านทางชิซุกะและโนบิตะ และในหนังยังมีหลายๆฉากที่แสดงถึงมิตรภาพออกมาได้งดงามและชวนให้รู้สึกดีตามไปด้วย และในที่สุดเราจะเริ่มรู้สึกดีไปกับตัวละครทั้ง2 เริ่มรู้สึกเชียร์ เริ่มรู้สึกสงสารตัวละคร จนในตอนท้ายผมคงต้องบอกว่า คงจะยากมากถ้าท่านคิดจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ (โดยเฉพาะฉากสุดท้าย ที่ผขอบอกว่าให้ไปดูกันเอง)



อีกทั้งหนังยังเติมเรื่องของประเด็นการแบ่งชนชั้นภายในสังคมซึ่งเป็น1ปมของเรื่องราว ซึ่งในหนังนั้นจะเน้นย้ำเกือบตลอดทั้งเรื่องเหมือนเป็นการกัดจิกสภาพสังคมของโลกในยุคปัจจุบัน ทำให้เรารู้สึกว่าสับสนต่อการกระทำของเหล่าหุ่นยนต์ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกไหม (ซึ่งจุดนี้ Original จะไม่มี) ซึ่งถือเป็นภาครีเมคภาคแรกที่มีประเด็นที่กัดจิกกันแบบตรงๆและชัดเจนขนาดนี้ ภายในหนังจะแทรกไปซึ่งสัญญลักษณ์มากมายทั้งทางคำพูดและการกระทำการบ่นของตัวละคร ซึ่งทำให้ชวนกังวลใจเหมือนกันว่าหนังจะสามารถเก็บประเด็นเหล่านี้ได้ครบหรือไม่ เพราะการดำเนินเรื่องค่อนข้างไปเร็วพอสมควร แต่เมื่อดูจบก็รู้ว่าทีมงานสามารถผนวกสัญลักษณ์ที่มีตลอดทั้งเรื่องออกมาได้อย่างประทับใจ



อีกอย่าง ตั้งแต่ทีมใหม่ทำมา ภาคนี้ผมให้ความรู้สึกว่า “เป็นผู้ใหญ่” ที่สุด และ “โทนจริงจัง” ที่สุด แม้ในหนังจะมีมุกตลกแทรกมาเป็นระยะ (แถมบางมุกก็เอาซะฮา) มีความน่ารักของตัวละครมาทรอดแทรก แต่เมื่อหนังเข้ากลางเรื่องสิ่งเหล่านี้จะถูกลดลงกลายเป็นความจริงจัง ประเด็นในหนัง ที่ถาโถมกันเข้ามาจนแอบรู้สึกสงสารเด็กนิดหน่อยว่า ดูแล้วมันจะดูรุนแรงเกินไปไหม โดยเฉพาะฉากเปลี่ยนเสื้อริลุลุ (ครับท่านฟังไม่ผิด มี และ ไม่เซ็น!!!!) อีกอย่างปกติโดราเอม่อนจะได้เรท ด. คือเหมาะสำหรับเด็ก แต่ในภาคนี้เรทได้อัพขึ้นเป็น ท. นะครับ







อีกจุดที่ชอบมากๆ แต่ก็เข้าใจเรื่องปีของการสร้างมันต่างกันคือเรื่องของ ฉากแอ็คชั่น ที่ภาคนี้ทำออกมาได้สมกับคำว่า Remake ฉากต่อสู้ต่างๆในหนังนั้นชวนให้นึกถึงอนิเมซุปเปอร์โรบอทชั้นเยี่ยมหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่ผมเชื่อว่าท่านคงไม่เคยเห็นในอนิเมชั่นที่ชื่อว่า โดราเอม่อน แน่นอน และสิ่งที่ผมประทับใจมากและคาดไม่ถึงคือซาวด์เอฟเฟคภายในหนังที่โคตรเจ๋ง เพราะเสียงหลายเสียงในหนังมันชวนให้กลัวและกดดันมากๆ (เสียงตอนชาร์จยิงเลเซอร์ในหนังยังตรึงในหูจนออกจากโรง)



ภาคนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกับเพลง เพราะในเรื่องมีการเปิดเพลงประกอบไปตั้ง3-4 เพลง ซึ่งแต่ละเพลงก็ถือว่าไพเราะเลยทีเดียว (โดยเฉพาะเพลงแรกที่เปิดตอนต้นเรื่อง ที่ขอบอกว่ามีความสำคัญมาก) แต่สำหรับดนตรีประกอบในภาคนี้กลับมาโดดเด่นอีกครั้ง หลายฉากได้ดนตรีประกอบช่วยเค้นอารมณ์ทั้งเศร้า และ ยิ่งใหญ่เข้ากับเรื่องได้อย่างไม่รู้สึกผิดแปลกอะไรทั้งสิ้น



จะติหน่อยก็ตรงเรื่องการพากย์ไทย ที่ภาคนี้ทีมพากย์เหมือนจะพากย์กันนอกเรื่องพอสมควร โดยเฉพาะหลายฉากที่อาจจะฟังแล้วหลุดๆไปนิด แต่ก็คงไม่ปฏิเสธเหมิอนเดิมว่า ทีมพากย์โดราเอม่อนในไทย ถ้าไม่ใช่ชุดนี้ ก็คงไม่มีทีมพากย์ไหนทำได้ดีกว่านี้แล้ว







สำหรับเรื่องงานภาพที่เป็นปัญหาของหลายๆคน อันนี้ผมให้การตัดสินใจกับพวกท่านเองล่ะกันครับว่าจะเอาเช่นไร เพราะในตอนนี้งานภาพของโดราเอม่อนทีมใหม่แทบไม่มีคำว่าการบิดเบี้ยวของตัวละครแล้ว และตัวละครแต่ละตัวยังออกแบบได้น่ารักสวยงาม ซึ่งผมเชื่อว่าใครไปดูทุกคนก็สามารถยอมรับลายเส้นแบบนี้กันได้แล้วล่ะ



แต่ยอมรับว่างานภาพภาคนี้เจ๋งพอตัว โดยเฉพาะในฉากสงครามที่ดูยิ่งใหญ่เอามากๆ ฉากในส่วนอื่นๆก็วาดได้สวยงาม แต่ผมชอบการออกแบบเมืองเมโทรเผียและฐานทัพของหุ่นยนต์ที่ทำออกมาได้อารมณ์หนังไซไฟจริงจัง รวมถึงหุ่นบางตัวที่ออกแบบใหม่ก็ดูดีขึ้นกว่าเดิม (โดยเฉพาะท่านแม่ทัพ ขอยอมรับว่าเอาออริจินอลมาดูตอนนี้ ดีไซน์มันเห่ยจริงๆ)



แต่ผมคงไม่เทียบอะไรมากกับต้นฉบับ เพราะว่าอย่างที่รู้กันว่าโครงเรื่องทั้งหมดมันมาจากฝีมือการเขียนของ อ.ฟูจิโอะ แล้วนำไปแปลงเป็นอนิเมชั่น แต่ถ้าใครได้ดูเวอร์ชั่นRemakeและได้อ่านเวอร์ชั่นมังกะฝีมือของอาจารย์จะรู้ว่า หลายๆอย่างได้เอาเวอร์ชั่นมังกะมาเป็นต้นแบบด้วย ฉะนั้นในใจผมจริงๆผมคงต้องยอมรับว่า เวอร์ชั่นRemake ดัดแปลงจากมังกะของอาจารย์ได้ดีกว่าอนิเมเวอร์ชั่น Original ครับ และเป็นการต่อยอดทางความคิดและไอเดียเพิ่มเติมจากอาจารย์ท่านเพื่อทำให้เรื่องราวยิ่งใหญ่และอุดช่องโหว่ที่เกิดขึ้นมาในเรื่อง ฉะนั้น ผมต้องยอมรับเลยว่าทีมงานทีมนี้ “รักและเคารพ” อ.ฟูจิโอะอย่างแท้จริง







สรุป : คงไม่เกินไปถ้าผมบอกว่า นี้คือหนังเรื่องแรกในรอบปีที่ผมต้องยอมหลั่งน้ำตา ความประทับใจในหนังมีอย่างมหาศาล บทที่ถูกเพิ่มเติมจากตัว Original ได้อย่างยอดเยี่ยม ฉากแอ็คชั่นที่ทำออกมาได้อย่างสนุก ตัวละครอย่างริลุลุและปิ๊บโปถูกใส่เข้ามาได้น่าจดจำจนทำให้ตอนจบกลายเป็นความประทับใจที่ตราตรึงไปอีกนาน คงต้องยอมรับเป็นครั้งแรกว่าในภาคนี้ ผมชอบตัว Reamake มากกว่า Original ครับ



เกรด S




แล้วเจอกันใหม่ครับ ลาล่ะ 555
Miscellaneous

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา