จริงๆ HUGO นั้นผมได้ไปดูตั้งแต่ก่อนจะมีการประกาศรางวัล Oscar ซะอีกครับ เพราะได้ยินเสียงล่ำลือถึงความยอดเยี่ยมของหนังเรื่องนี้มาเยอะมาก และที่สำคัญหลายคนบอกว่าต้องไปดู 3D เท่านั้น ผมเลยขอไปดูว่าสมคำล่ำลือไหม ผลคือผมตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดทำให้หลงรักภาพยนต์เรื่องนี้ทันทีเมื่อออกมาจากโรงภาพยนต์
HUGO คือหนังที่มีลูกเล่นการใช้เทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมมาก หนังใช้เรื่องราวของการสร้างหนังในยุคแรกๆผสานเข้าไปกับการใช้เทคโนโลยีแบบ 3D และคอมพิวเตอร์กราฟฟิค ทำให้เรารู้สึกตื่นตาไปกับภาพในหนังที่ถ่ายทอดเรื่องราวของการทำภาพยนต์ได้ โดยบทหนังนั้นก็ได้บิ้วอารมณ์เกี่ยวกับความตั้งใจในการทำหนังสำเร็จ จึงไม่แปลกถ้าใครดู HUGO แล้วจะกลับไปมีความรู้สึกเหมือนตอนที่เราชมภาพยนต์ครั้งแรกอีกครั้ง
ในทางด้านบทนั้น ช่วงแรกของ HUGO มีการผูกปมออกมาได้อย่างดีและน่าสนใจ แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนในช่วงท้ายๆของหนังนั้นจะรีบดำเนินเรื่องไปหน่อย ทำให้ความรู้สึกว่าเต็มอิ่มอย่างที่คาดหวังไว้ในช่วงต้นๆของหนังขาดไปพอสมควร อย่างบทสรุปสุดท้ายมันควรจะรู้สึกอบอุ่นกว่านี้
สำหรับเทคนิคพิเศษในหนังนั้นล้วนสมราคาคุย Oscar ครับ โดยเฉพาะ 3D ที่ต้องขอบอกว่ายอดเยี่ยมเอามากๆ สูสีได้พอๆกับ AVATAR เลย ภาพบางช่วงของหนังที่เป็น3D ทำให้รู้สึกสวยงามอย่างที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ฉะนั้นถ้าหนังเรื่องนี้ดูผ่านทางโรงภาพยนต์อรรถรสจะยอดเยี่ยมมากๆ รวมถึงSound เสียงๆต่างๆหนังก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมสมราคาคุยจริงๆ การออกแบบฉากสามารถสื่อถึงความสวยงามของปารีสในยุคช่วง 30 ได้อย่างดี แต่น่าเสียดายที่หนังมีฉากเหล่านี้ไม่ค่อยเยอะนัก ส่วนใหญ่จะดำเนินเรื่องกันในสถานีรถไฟมากกว่า
อีกอย่างนึงที่อยากชมคือดารา โดยเฉพาะ Ben Kingsley ที่เล่นเป็น Georges Melies ได้ดูทั้งใจดีและดุดัน ดูเป็นเหมือนคนสิ้นความฝัน แต่เมื่อเล่าถึงเรื่องราวในอดีตดูมีชีวืตชีวา และอีกคนก็คือ Sacha Baron Cohan ที่เล่นเป็นเจ้าหน้าที่สุดเฮี๊ยบของสถานีรถไฟ ทุกครั้งที่โผล่มาเรียกได้ว่าเป็นตัวขโมยซีนของเรื่องราวอย่างแท้จริง
สรุป : แม้โดยภาพรวม HUGO จะไม่แข็งแกร่งเท่ากับ The The Artist แต่ถ้าพูดในเรื่องของความรู้สึกหลังดูหนังจบแล้ว ขอยอมรับว่าความรู้สึก HUGO ให้ได้เต็มที่กว่า ทำให้ความรู้สึกตอนดูภาพยนต์ครั้งแรกบนจอยักษ์กลับมาอีกครั้ง ทำให้ความรู้สึกอยากจะไปค้นหาประวัติศาสตร์ภาพยนต์ อยากรู้การทำงานของคนยุคนั้น HUGO คือหนังของคนรักหนังอย่างแท้จริงๆ มันคือ Cinema Paradiso ของยุคนี้ครับ
เกรด S
เปรียบเทียบหนังชิง Oscar 2เรื่องนี้
หลังจากได้ชมภาพยนต์ 2 เรื่องนี้ ซึ่งต่างเป็นหนังที่เข้าชิง Oscar สาขาภาพยนต์ยอดเยี่ยมทั้งคู่ และยังเป็นหนังที่ทำมาเพื่อคารวะหนังในยุคเก่าเหมือนกันทั้งคู่ด้วย ถ้าพูดในแง่ของความเป็นภาพยนต์ที่สมบูรณ์ The Artist จะสมบูรณ์กว่าในแง่ของบท การนำเสนอรูปแบบต่างๆ ดาราที่ทรงพลัง เรียกได้ว่าเป็นหนังสูตรสำเร็จที่สมควรได้ Oscar แต่ว่าความรู้สึกเมื่อดูจบแล้วก็คือประทับใจว่ามันเป็นหนังที่ดีมากเรื่องนึง ในขณะที่ HUGO เลือกใช้การสื่อถึงเรื่องราวของคนทำภาพยนต์ออกมาได้อย่างงดงามตัตราตรึงใจ ทำให้ความรู้สึกแล้วผมชอบ HUGO ในด้านความรู้สึกที่ตราตรึงใจยิ่งกว่า The Artist ครับผม