Review : The Artist และ HUGO

อ่านก่อนนิดนึง



บทความนี้ คือบทความReview หนังในมุมมองของผมแค่คนเดียว ไม่ใช่มุมมองของคนส่วนมาก ฉะนั้นไม่แปลกถ้าท่านจะรู้สึก เอ๊ะทำไมนายไม่ชอบตรงนี้ เอ๊ะทำไมนายมาด่าเรื่องนี้ เอ๊ะนายบอกเรื่องนี้ดี นายเพี้ยนรึเปล่า อยากจะบอกว่า ผมเป็นแค่คนดูหนังคนนึง มิอาจสามารถเอาใจของคนทั่วโลกมารวมในคนเดียว แล้วประมวลคะแนนให้พอใจทุกคนได้ เพราะคนเราย่อมมีรสนิยมการดูหนังไม่เหมือนกันทุกคนครับ ฉะนั้น ถ้าอ่านReview ของผมแล้ว จงอย่าตัดสินทันที ขอให้พิสูจน์หนังเรื่องนั้นด้วยตัวท่านเอง ไม่แน่ หนังที่ผมบอกห่วย อาจเป็นหนังในใจท่านก็ได้ครับผม ด้วยความเคารพครับ



และขอความกรุณาอย่าSpoil หนังนะครับผม จะSpoil ก็ขอให้ใช้การซ่อนข้อความ



การติชมต่อผลงานของSoma สามารถเขียนได้ในกระทู้อย่างเปิดเผยและตรงๆอย่างไม่ต้องกังวล เข้ามาอ่านReview เล็กๆก่อนตัวเต็ม หรือถ้าใครที่เข้ามาอ่านธรรมดาแต่อยากติชม สามารถเข้าไปติได้ที่Facebook ของกระผมนะครับ



http://www.facebook.com/profile.php?id=100000512771067



The Artist








แนวหนัง : ดราม่า



ตัวอย่าง








เรื่องย่อ



นี้คือเรื่องราวในช่วงยุค 20-30 ช่วงที่หนังฮอลลีวู้ดยังคงเป็นหนังเงียบ ดาราชื่อดังนาม จอร์จ เวราติน ได้แนะแนวทางการเป็นดาราแก่สาวน้อยธรรมดาคนนึงนามว่า ปิ๊บปี้ มิลเลอร์ ให้มาเป็นดารา แต่แล้วเมื่อยุคหนังเงียบจบลง จอร์จผู้เป็นดาราหนังเงียบไม่ได้ก้าวตามเทคโนโลยีก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ ขณะที่ปิ๊บปี้ที่เค้าเคยแนะแนวทางกลายเป็นดาราที่มีชื่อเสียงไปแล้ว นี้คือบทพิสูจน์ในตัวของจอร์จว่าเค้าจะทำเช่นไร







มุมมองของ Soma



น่าจะเป็นที่สนใจของหลายๆคนแน่นอนแล้วกลับหนังที่พึ่งกวาดรางวัล Oscar ไปถึง 5 สาขา รวมถึงภาพยนต์ยอดเยี่ยมเรื่องนี้ ที่เป็นหนังเงียบและขาวดำ ซึ่งถ้าจะดูให้ได้อรรถรสจริงๆขอแนะนำว่าให้ไปดูที่สกาล่า จะได้อารมณ์ร่วมกับหนังอย่างดีพอสมควร ซึ่งเมื่อผมได้ดูแล้วก็ไม่แปลกใจเท่าไรนักที่หนังเรื่องนี้จะได้ Oscar ไป







สิ่งที่ผมต้องชื่นชมในหนังเรื่องนี้เลยคือการนำเสนอประเด็นความล้าสมัยกับความทันสมัยด้วยรูปแบบของหนังเงียบ ซึ่งในหนังเรื่องของเสียงที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องราวถูกเอามานำเสนอได้อย่างมีสไตล์ผสานไปกับรูปแบบของความเป็นหนังเงียบได้อย่างลงตัว ถึงแม้หนังจะทำให้เป็นขาวดำและหนังเงียบ แต่ภาพที่แสดงออกมาเราไม่รู้สึกว่าหนังเชยเลยแม้แต่นิดเดียว โดยในบางครั้งหนังก็เล่นเทคนิคแปลกๆที่ไม่เข้ากับหนังเงียบแต่ออกมาดูดีได้บ่อยๆ (ที่สำคัญหนังฉายไม่เต็มจอด้วยครับ ให้ความรู้สึกว่าดูหนังขาวดำยุคเก่าจริงๆ)



บทของหนังจะพูดถึงเรื่องของการยึดติดกับการก้าวไปข้างหน้าโดยเน้นเรื่องของคนที่เคยโด่งดังและตกต่ำเพราะการยึดติดต่อสิ่งที่มีโดยไม่ก้าวไปข้างหน้า ของตัวละคร อาจจะดูไม่แปลกใหม่หรือมีอะไรเกินคาดเดาเลยแอบรู้สึกเสียดายที่หนังน่าจะมีบทที่มีอะไรให้คิดมากกว่านี้นิดนึง (ความรู้สึกคือ บทดีแต่ไม่ถึงขนาดว่าจะได้ Oscar สาขาบทภาพยนต์)







สิ่งที่ทำให้ Artist เป็นหนังเงียบที่ดูสนุกนอกจากการนำเสนอที่ยอดเยี่ยมแล้ว มีอีก2สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ยอดเยี่ยม สิ่งแรกคือเรื่องของดนตรีประกอบที่ประกอบในหนัง ที่นอกจากจะให้ความรู้สึกว่าดูหนังเงียบจริงๆแล้ว บทเพลงในหนังยังทำออกมาได้ไพเราะเข้ากับบรรยากาศในเรื่องได้อย่างดีด้วย รวมถึง Sound Effect ที่แม้ในเรื่องจะมีนับฉากได้ แต่ก็ทำออกมาได้หนักแน่นและมีพลังกับเรื่องในส่วนที่ต้องมี Sound Effect อย่างมาก



อีกส่วนก็คือเรื่องของนักแสดงที่ยอดเยี่ยมมาก ทั้ง Jean Dujardin ที่พึ่งได้ Oscar สาขาดารานำชายไป โดยเค้าเล่นได้เข้าถึงอารมณ์ของดารายุคนั้นมาก ทั้งรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ การแสดงหน้าตาที่เหมือนกับว่าตัวเค้าแสดงหนังในยุค 20-30 จริงๆ หรือแม้แต่ตอนที่ต้องแสดงอารมณ์ผิดหวังสิ้นหวัง หรือ Berenice Bejo ที่เล่นเป็น ปิ๊บปี๊ ก็แสดงออกมาได้น่ารักน่าเอ็นดูอย่างมา โดยเฉพาะเวลาที่เธอส่งจูบมันดูมีเสน่ห์เหมือนนางเอกสมัยก่อนจริงๆ ยังแอบเสียดายที่เธอพลาดรางวัล Oscar สาขาดารานำหญิงปีนี้ไป แต่ที่ขอบอกว่าขโมยซีนจริงๆคงหนีไม่พ้นเจ้าน้องหมาที่โผล่มาทีไรนอกจากจะทำให้บรรยากาศในเรื่องผ่อนคลายไปกับความน่ารักของมันแล้ว ยังเป็นจอมขโมยซีนในหนังที่ยอดเยี่ยมเอามากๆ







ส่วนที่ผมชอบจริงๆของ Artist คือการที่ผู้สร้างทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อคารวะยุคที่หนังฮอลลีวู้ดยังเป็นหนังเงียบ แต่ในอีกทางผู้สร้างได้ใช้การทำหนังเงียบนั้นเป็นการให้ข้อคิดอะไรบางอย่างแก่ผู้สร้างหนังหลายๆท่านว่า ในบางครั้งการยึดติดมากเกินไป ก็จะส่งผลร้ายต่อตนเอง ความหยิ่งทะนงในตนเองไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น บางครั้งการลดหย่อนการเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของตนเองก็จะช่วยให้ชีวิตผ่านพ้นวิกฤติไปได้ ซึ่งนี้คือสิ่งที่หนังสื่อออกมาได้เข้าถึงได้ง่ายและยอดเยี่ยม จนไม่แปลกใจเลยที่มันจะได้รางวัล Oscar







สรุป : The Artist คือหนังที่คารวะหนังเงียบขาวดำ ที่เอาประเด็นเรื่องของการยึดติดและเปิดใจสิ่งใหม่ๆเข้ามานำเสนอได้อย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งองค์ประกอบในหนังยังทำออกมาได้น่าจดจำ ทั้งดารา ดนตรีประกอบ จนเรียกได้ว่าเป็นหนังขาวดำที่ดูดีมีสไตล์และยอดเยี่ยมเข้ากันได้กับยุคที่มีแต่หนังสี มีเสียง และเต็มไปด้วยเอฟเฟคอย่างน่าอัศจรรย์

เกรด A




---------------------------------------------------------------------------------------------



HUGO







แนวหนัง : ดราม่า ครอบครัว



ตัวอย่าง








เรื่องย่อ



ฮิวโก้ หนุ่มน้อยกำพร้าเพราะคุณพ่อประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จนต้องใช้ชีวิตเป็นเด็กคอยดูแลนาฬิกาภายในสถานีรถไฟ และเค้ายังต้องหาวิธีการแก้ปริศนาหุ่นจักรกลที่พ่อของเค้าทิ้งเอาไว้ และการไล่ไขปริศนาของฮิวโก้เค้าก็ได้ค้นพบความมหัศจรรย์ของสิ่งที่เรียกว่า “ภาพยนต์”







มุมมองของ Soma



จริงๆ HUGO นั้นผมได้ไปดูตั้งแต่ก่อนจะมีการประกาศรางวัล Oscar ซะอีกครับ เพราะได้ยินเสียงล่ำลือถึงความยอดเยี่ยมของหนังเรื่องนี้มาเยอะมาก และที่สำคัญหลายคนบอกว่าต้องไปดู 3D เท่านั้น ผมเลยขอไปดูว่าสมคำล่ำลือไหม ผลคือผมตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดทำให้หลงรักภาพยนต์เรื่องนี้ทันทีเมื่อออกมาจากโรงภาพยนต์







HUGO คือหนังที่มีลูกเล่นการใช้เทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมมาก หนังใช้เรื่องราวของการสร้างหนังในยุคแรกๆผสานเข้าไปกับการใช้เทคโนโลยีแบบ 3D และคอมพิวเตอร์กราฟฟิค ทำให้เรารู้สึกตื่นตาไปกับภาพในหนังที่ถ่ายทอดเรื่องราวของการทำภาพยนต์ได้ โดยบทหนังนั้นก็ได้บิ้วอารมณ์เกี่ยวกับความตั้งใจในการทำหนังสำเร็จ จึงไม่แปลกถ้าใครดู HUGO แล้วจะกลับไปมีความรู้สึกเหมือนตอนที่เราชมภาพยนต์ครั้งแรกอีกครั้ง



ช่วงที่หนังบรรยายถึงความสุขในการทำภาพยนต์นั้น นับว่าเป็นช่วงที่พีคที่สุดในหนังเรื่องนี้จริงๆครับ ทั้งภาพที่ออกมา บทพูด และการแสดงออกล้วนแสดงถึงความเพียรพยายามในการสร้างหนังแต่ละเรื่อง และหนังยังแอบซ่อนเกร็ดความรู้เกี่ยวกับภาพยนต์ยุคเริ่มต้นไว้มากมายจนหนังจบเราอยากเดินไปค้นหาประวัติศาสตร์ภาพยนต์เอาจริงๆ รวมถึงการที่หนังเอา Footage หนังโบราณมาฉาย แต่มันกลับทำให้เรารู้สึกว่าหนังพวกนี้มีความมหัศจรรย์อย่างมากๆเมื่อถูกเล่าผ่าน หนังเรื่อง HUGO นี้ มันเป็นเหมือนการคารวะบรรดาครูทางภาพยนต์ยุคบุกเบิกอย่างแท้จริง







ในทางด้านบทนั้น ช่วงแรกของ HUGO มีการผูกปมออกมาได้อย่างดีและน่าสนใจ แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนในช่วงท้ายๆของหนังนั้นจะรีบดำเนินเรื่องไปหน่อย ทำให้ความรู้สึกว่าเต็มอิ่มอย่างที่คาดหวังไว้ในช่วงต้นๆของหนังขาดไปพอสมควร อย่างบทสรุปสุดท้ายมันควรจะรู้สึกอบอุ่นกว่านี้



สำหรับเทคนิคพิเศษในหนังนั้นล้วนสมราคาคุย Oscar ครับ โดยเฉพาะ 3D ที่ต้องขอบอกว่ายอดเยี่ยมเอามากๆ สูสีได้พอๆกับ AVATAR เลย ภาพบางช่วงของหนังที่เป็น3D ทำให้รู้สึกสวยงามอย่างที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ฉะนั้นถ้าหนังเรื่องนี้ดูผ่านทางโรงภาพยนต์อรรถรสจะยอดเยี่ยมมากๆ รวมถึงSound เสียงๆต่างๆหนังก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมสมราคาคุยจริงๆ การออกแบบฉากสามารถสื่อถึงความสวยงามของปารีสในยุคช่วง 30 ได้อย่างดี แต่น่าเสียดายที่หนังมีฉากเหล่านี้ไม่ค่อยเยอะนัก ส่วนใหญ่จะดำเนินเรื่องกันในสถานีรถไฟมากกว่า



อีกอย่างนึงที่อยากชมคือดารา โดยเฉพาะ Ben Kingsley ที่เล่นเป็น Georges Melies ได้ดูทั้งใจดีและดุดัน ดูเป็นเหมือนคนสิ้นความฝัน แต่เมื่อเล่าถึงเรื่องราวในอดีตดูมีชีวืตชีวา และอีกคนก็คือ Sacha Baron Cohan ที่เล่นเป็นเจ้าหน้าที่สุดเฮี๊ยบของสถานีรถไฟ ทุกครั้งที่โผล่มาเรียกได้ว่าเป็นตัวขโมยซีนของเรื่องราวอย่างแท้จริง







สรุป : แม้โดยภาพรวม HUGO จะไม่แข็งแกร่งเท่ากับ The The Artist แต่ถ้าพูดในเรื่องของความรู้สึกหลังดูหนังจบแล้ว ขอยอมรับว่าความรู้สึก HUGO ให้ได้เต็มที่กว่า ทำให้ความรู้สึกตอนดูภาพยนต์ครั้งแรกบนจอยักษ์กลับมาอีกครั้ง ทำให้ความรู้สึกอยากจะไปค้นหาประวัติศาสตร์ภาพยนต์ อยากรู้การทำงานของคนยุคนั้น HUGO คือหนังของคนรักหนังอย่างแท้จริงๆ มันคือ Cinema Paradiso ของยุคนี้ครับ



เกรด S




เปรียบเทียบหนังชิง Oscar 2เรื่องนี้



หลังจากได้ชมภาพยนต์ 2 เรื่องนี้ ซึ่งต่างเป็นหนังที่เข้าชิง Oscar สาขาภาพยนต์ยอดเยี่ยมทั้งคู่ และยังเป็นหนังที่ทำมาเพื่อคารวะหนังในยุคเก่าเหมือนกันทั้งคู่ด้วย ถ้าพูดในแง่ของความเป็นภาพยนต์ที่สมบูรณ์ The Artist จะสมบูรณ์กว่าในแง่ของบท การนำเสนอรูปแบบต่างๆ ดาราที่ทรงพลัง เรียกได้ว่าเป็นหนังสูตรสำเร็จที่สมควรได้ Oscar แต่ว่าความรู้สึกเมื่อดูจบแล้วก็คือประทับใจว่ามันเป็นหนังที่ดีมากเรื่องนึง ในขณะที่ HUGO เลือกใช้การสื่อถึงเรื่องราวของคนทำภาพยนต์ออกมาได้อย่างงดงามตัตราตรึงใจ ทำให้ความรู้สึกแล้วผมชอบ HUGO ในด้านความรู้สึกที่ตราตรึงใจยิ่งกว่า The Artist ครับผม



แล้วเจอกันใหม่ครับผม ลาล่ะ 555
Miscellaneous

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา