บทความ BattleTech/MechWarrior ภาคการรุกรานของแคลน (Clan Invasion)

สวัสดีครับ รอบนี้ก็จะมาต่อจากของเดิมจนจบศึก Clan Invasion นะครับ



บทความนี้เรียบเรียงจากหนังสือที่เขียนในมุมมองของแคลนเป็นหลัก เนื้อหาหลายๆ อย่างจากฝั่ง InnerSphere จึงจะไม่ได้พูดถึงเยอะเท่าไหร่



ความเดิมจากตอนที่แล้ว



อเล็กซานเดอร์ เคเรนสกี้ ได้พาผู้ที่ศรัทธาในตัวเขาออกเดินทางไปในอวกาศอันไกลพ้น เพื่อตั้งถิ่นฐานใหม่ แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี้ยงความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ไปได้ ทายาทของ อเล็กซานเดอร์ นิโคลัส เคเรนสกี้ เป็นผู้ที่สามารถปราบความขัดแย้งเหล่านี้ลงได้ ด้วยการสร้างระบบการปกครองในรูปแบบของตัวเอง ด้วยการแบ่งจำนวนผู้คนที่หลงเหลือออกเป็นยี่สิบกลุ่มในนามว่าแคลน เมื่อนิโคลัสตายลง แคลนที่เขาสร้างขึ้นมา ก็ก้าวเข้าสู่ยุคทองอันเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุด



ตรงกันข้ามกับ Inner Sphere ที่สู้รบกันเองจนทำให้เทคโนโลยีหลายๆ อย่างสูญหายไป แคลนได้คิดค้นเทคโนโลยีต่างๆ ขึ้นมามากมายในช่วงยุคทอง ในจำนวนนั้นมีอยู่สองสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงสมรภูมิของ BattleTech ไปตลอดกาล นั่นคือชุดเกราะ power armor ที่เรียกกันว่า Elemental ที่สามารถทำการสู้รบได้ในทุกสภาวะ ไม่ว่าจะเป็น ไฟ แผ่นดิน ใต้น้ำ หรือแม้แต่อวกาศ และ Omni Mech ที่ทหารช่างในสนามรบสามารถถอดประกอบอาวุธได้ด้วยตัวเองภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ทำให้ประสิทธิภาพในการสู้รบของ Omni Mech มีความยืดหยุ่นสูงมาก เมื่อเทียบกับ Mech รุ่นดั้งเดิมที่อาวุธต่างๆ ถูกติดตายมากับตัวหุ่นทำให้การปรับแต่งจะต้องทำในโรงงานเท่านั้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่มากกว่าเช่นเดียวกัน







นักรบหุ้มเกราะ Elemental







Omni Mech



The Warden & The Crusader



ช่วงปี 2984 สภาสูงตัดสินใจตั้งหน่วยข่าวกรองเพื่อรวมรวมข้อมูลของ InnerSphere ในขณะนั้น หน่วยข่าวกรองออกเดินทางตามแถวชายแดนของ InnerSphere ที่เรียกกันว่า แดนเส้นรอบวง (Periphery) ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจการปกครองของ InnerSphere โดยข้อมูลข่าวสารที่ได้จากการค้าขายหรือลอบเข้าจารกรรมข้อมูลต่างๆ จะถูกส่งกลับให้สภาสูง



จากข้อมูลที่รวบรวมมาได้ทำให้แคลนทราบว่า InnerSphere กำลังทำสงครามผู้สืบทอด (Succession War) กันตรงตามที่อเล็กซานเดอร์เคเรนสกี้ได้ทำนายไว้



แต่พวกเขาเข้าใจผิดไปมากที่ไปเชื่อว่าเทคโนโลยีที่พวกเขาเห็นในแดนเส้นรอบวงแสดงถึงระดับความสามารถของ InnerSphere ในขณะนั้น ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วแดนเส้นรอบวงล้าหลังและป่าเถื่อนกว่ามาก นั่นเลยทำให้สภาสูงคิดว่ากองกำลังทางทหารของ InnerSphere ไม่อยู่ในระดับที่เป็นภัย



ถึงตอนนี้ความคิดของแคลนก็แตกแยกเป็นสองฝ่าย หนึ่งคือกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า Crusader Clan พวกเขาคิดว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้วที่จะกลับไปยัง InnerSphere เพื่อก่อตั้ง Star League ใหม่ตามสิ่งที่เคเรนสกี้เคยลั่นวาจาไว้



อีกกลุ่มคือ Warden Clan พวกเขาไม่คิดว่านั่นเป็นคำสั่งของเคเรนสกี้ที่ฝากฝังไว้กับกลุ่มคนรุ่นหลัง แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิดความกล้าที่จะให้แคลนมีสังคมและวัฒนธรรมของแคลนจริงๆ แยกออกมาจาก InnerSphere ที่ปนเปื้อนจากบาปต่างๆ ที่ก่อขึ้น แต่หากเกิดอะไรขึ้นกับ InnerSphere พวก Warden เหล่านี้ก็พร้อมที่จะเข้าปกป้องให้รอดพ้นจากภัยภายนอกทันที



ไม่มีการบันทึกชัดเจนว่าภัยภายนอกหมายถึงอะไร บางคนก็คาดเดาว่าอาจจะหมายถึงสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอื่นๆ ที่มนุษย์ยังไม่รู้จัก ในขณะที่บางคนคิดว่าเป็นไปได้ที่จะมีมนุษย์ไปตั้งสังคมใหม่ในดินแดนที่ห่างไกลเหมือนอย่างแคลน



Smoke Jaguar เป็นฝ่ายที่ถือข้าง Crusader Clan อย่างชัดเจน ในขณะที่ Wolf เลือกที่จะอยู่ข้าง Warden Clan



ส่วน Jade Falcon ที่เป็นอริตลอดกาลกับ Wolf ตั้งแต่สมัยทำสงครามยึด Pentagon กลับคืนมา แค่เพียง Wolf เลือกที่จะปกป้อง InnerSphere ก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะสนับสนุน Smoke Jaguar และเลือกอยู่ข้าง Crusader Clan แล้ว



ถึงแม้ว่า Wolf จะเป็น Warden Clan แต่ข้างใน Wolf เองก็มีเสียงส่วนหนึ่งที่สนับสนุนแนวคิดของ Crusader Clan เช่นเดียวกัน ทำให้ Wolf ไม่สามารถที่จะถ่วงเวลาไม่ให้ Crusader Clan ทำสงครามกับ InnerSphere ได้ตลอดกาล



ช่วงปี 3000 ข่านเคอลิน วาร์ด (Kerlin Ward) จาก Clan Wolf จึงเสนอให้ส่งกองทหารจำนวนหนึ่งลอบเข้าไปใน InnerSphere ในรูปแบบของกองทหารรับจ้าง โดยอ้างว่าเพื่อรวบรวมข้อมูลจากนครรัฐทั้ง 5 แต่จุดประสงค์จริงๆ ก็เพื่อถ่วงเวลาไม่ให้ Crusader Clan ทำสงครามกับ InnerSphere ซึ่งแผนนี้ได้รับเสียงสนับสนุนจาก Ghost Bear ที่เห็นด้วยว่า ณ ขณะนี้แคลนมีความรู้เกี่ยวกับภายใน InnerSphere น้อยมาก ถึงแม้ว่า Ghost Bear จะเป็น Crusader Clan ก็ตาม



Wolf’s Dragoons







เมื่อแผนการมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย สภาสูงจึงลงมติที่จะดำเนินแผนการนี้โดยให้ Wolf เป็นผู้จัดตั้งกองกำลัง Wolf จึงเลือกเอาคนที่เป็น freebirth และทหารระดับล่าง มาฝึกฝนเกิดเป็น Wolf’s Dragoons ภายใต้การบังคับบัญชาของไจมี่ วูลฟ์ (Jaime Wolf) และโจชัวร์ วูลฟ์ (Joshua Wolf) กับเหล่า freebirth รวมถึงนาตาช่า เคเรนสกี้ (Natasha Kerensky) ซึ่งเป็น Bloodname เพียงคนเดียวที่เดินทางไปด้วย แต่การที่หน่วยสอดแนมประกอบไปด้วยชนชั้นล่างเพียงอย่างเดียว ทำให้เกิดข้อกังขาในสายตาของข่านคนอื่นๆ ถึงความจงรักภักดีของเขา ที่เห็นว่าหน่วยทหารเหลือเดนพวกนี้สามารถทรยศไปเข้าฝ่าย InnerSphere ได้ทุกเมื่อ







Jaime Wolf







Joshua Wolf







Natasha Kerensky



*ปรกติคนที่ยังไม่ได้รับ Bloodname จะใช้ชื่อแคลนเป็นนามสกุลแทน



พวกแคลนระมัดระวังมากที่จะไม่ให้ตัวตนที่แท้จริงของ Wolf Dragoon ถูกเปิดเผย ดังนั้นอาวุธที่พวกเขาได้รับมอบจึงเป็นอาวุธเก่าที่ตกทอดมากันตั้งแต่ยุคก่อนอพยพ รวมถึงการฝึกฝนกองทหารในแบบเก่าจากยุค Star League เพื่อจะให้ Wolf Dragoon กลมกลืนไปกับ InnerSphere มากที่สุด



Wolf’s Dragoons เดินทางไปถึง InnerSphere ในปี 3004 และเริ่มทำสัญญากับตระกูลต่างๆ เริ่มจาก ตระกูลเดเวี่ยนในปี 3005 ถึง 3009 เมื่อสิ้นสุดสัญญาพวกเขาก็เดินทางกลับแคลนเพื่อเติมเสบียงและนำเสนอรายงานต่างๆ รายงานที่สภาได้รับจากดรากูนนั้นขัดแย้งกับสิ่งที่สภาเคยเชื่อมาก่อนหน้านี้มาก ทำให้สภาสูงตัดสินใจที่จะให้ดรากูนกลับไป InnerSphere เพื่อหาข่าวสารเพิ่ม



จนถึงช่วงท้ายของ Succession War ครั้งที่สาม ดรากูนที่สูญเสียโจชัวร์ไปในสงครามการเมืองของตระกูลมาริค ได้กลับไปถึงแคลน ข่านเคอลินได้แนะนำให้ไจมี่และนาตาช่ารู้จักกับอุลริก เคเรนสกี้ (Ulric Kerensky) ผู้ที่จะมาสืบทอดตำแหน่งข่าน และทั้งคู่ได้รับคำสั่งสุดท้าย ข่านเคอลินได้ออกคำสั่งลับให้ Wolf Dragoon สาบานว่าจะไม่รับคำสั่งของข่านคนอื่นๆ นอกจากตัวเขา เขายังได้สั่งให้ดรากูนหยุดส่งรายงานทั้งหมดกลับมาหาแคลน และมอบแบบแปลนเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งหมดที่ Wolf มีในขณะนั้น จากการคาดการณ์ว่าเขาจะไม่สามารถหยุดยั้งการบุกรุกของแคลนสู่ InnerSphere ได้อีกต่อไป ทั้งหมดเพื่อเตรียมพร้อมให้ Wolf’s Dragoons สามารถสนับสนุน InnerSphere ได้เมื่อถึงเวลา







Khan Ulric Kerensky



ถึงตอนนี้หลายๆ ฝ่ายในแคลนเริ่มเชื่อแล้วว่าดรากูนทรยศไปเข้ากับ InnerSphere เพราะข่าวสารหยุดส่งกลับมาหาแคลน แต่สภาสูงไม่ได้เตรียมแผนรองรับไว้ล่วงหน้า ก็เลยไม่ได้ทำอะไรกับดรากูนในตอนนี้



จนปี 3029 เมื่อข่าวลือสหพันธ์แห่งอาทิตย์กับเครือจักรภพลิแลนจับมือกันเป็นพันธมิตร ฝ่าย Crusader เสนอว่าหากข่าวนี้เป็นจริงจะเป็นอุปสรรค์สำคัญในการฟื้น Star League ใหม่ในวิสัยทัศน์ของแคลน แต่ Ulric Kerensky ที่ตอนนี้สืบทอดตำแหน่งข่าแล้ว ได้ถ่วงเวลานานพอที่จะทำให้ข่าวศึก Succession War ครั้งที่ 4 มาถึงแคลนและเสนอให้รอจนกว่าศึก Succession War ครั้งที่ 4 จบลงจึงค่อยหารือกันใหม่



การตัดสินใจครั้งสุดท้าย



จุดเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเกิดจากยานสำรวจของหน่วย ROM จากฝ่าย ComStar บังเอิญวาร์ปไปโผล่ใกล้ๆ ดาว Huntress ที่เป็นดาวของ Smoke Jaguar พอดี ด้วยความกลัวที่ InnerSphere จะล่วงรู้ถึงตัวตนของแคลนข่านเลโอ โชเวอร์ (Leo Showers) แห่ง Smoke Jaguar จึงสั่งให้จับกุมยานสำรวจเพื่อนำมาสอบปากคำ นั่นทำให้แคลนรู้ถึงตัวตนที่อยู่ในมุมืดของ InnerSphere มาโดยตลอดในชื่อ ComStar







Khan Leo Showers



Quote :







ComStar





พอ Star League ล่มสลายลง เจโร่เม่ เบล็ก (Jerome Blake) ที่เป็นช่างเทคนิคสถานี HGP (Hyper Pulse Genrator สถานีสื่อสารข้ามดวงดาว) ภายใต้การดูแลของอเล็กซานเดอร์ เคเรนสกี้ ก็สัมผัสได้ถึงหน้าที่อันยิ่งใหญ่สองประการที่เขาจะต้องรีบดำเนินการ หนึ่งคือการป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีของ Star League สูญหายไปจากสงคราม สองคือป้องกันไม่ให้สถานี HPG หรือเครือข่ายการสื่อสารข้ามดวงดาวถูกทำลาย หรือโดนเอาไปใช้ในทางที่ผิดจาก 5 ตระกูลใหญ่



เบล็กจึงได้รวบรวมกำลังพลเป็นจำนวนหลายกรมทหารแล้วทำการเข้ายึด Terra ภายใต้ปฏิบัติการสายฟ้าในปี 2788 แล้วประกาศให้ระบบสุริยะเป็นกลาง โดยยื่นข้อเสนอว่าจะมอบระบบการสื่อสารข้ามดวงดาวที่ปลอดภัยให้กับทุกคน ที่ยอมรับสถานะภาพเป็นกลางขององค์กร บุคคลที่ทำหน้าที่ดูแลอุปกรณ์ และ สถานี HyperPulseGenerator (HPG) ในทุกๆ ดวงดาว ผู้นำนครรัฐต่างเข้าใจทันทีว่าระบบสื่อสารที่ใช้งานได้เป็นสิ่งจำเป็นในการอยู่รอดและยอมรับต่อข้อเสนอของเบล็ก อันเป็นจุดเริ่มต้นของ ComStar



เบล็กจัดตั้งหน่วย First Circuit ที่จะมาทำหน้าที่ดูแลกิจการของ ComStar และส่งเสริมให้สมาชิกทุกคนยึดถือการเป็นภาดรลับ เพื่อปกป้องความลับขององค์กรและเทคโนโลยีของ Star League ให้ปลอดภัย แต่พอเบล็กตายไป ผู้นำคนใหม่ที่มาแทนที่ ก็เปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรให้กลายเป็นลำดับชั้นทางศาสนาที่เข้มงวด และปิดบังกิจกรรมต่างๆ ให้ดูเป็นพิธีกรรมที่ลึกลับ และเรียกผู้นำตำแหน่งสูงสุดว่าพรีมัส (Primus)







Khan Elias Crichell



ข่านเลโอ และ ข่านเอเรียส คริเชล (Elias Crichell) แห่ง Jade Falcon ใช้ข้อมูลที่ได้จากการสอบปากคำไปใช้ประโยชน์ในการประชุมสภาสูง และกล่อมให้แคลนคิดว่าพวก ComStar อาจจะรู้ถึงตำแหน่งที่ตั้งของแคลนในไม่ช้า นั่นหมายความว่าจะเป็นการเปิดเผยถึงตัวตนของ Clan ให้กับ InnerSphere ทั้งหมดได้รับรู้ด้วย รวมถึงพันธมิตรระหว่างตระกูลเดเวี่ยนกับตระกูลสไตเนอร์ก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีแสนยานุภาพทางทหารสูงแค่ไหน และการค้นพบวิจัยเทคโนโลยีที่สูญหายไปขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ใน InnerSphere



ทั้งความกลัวว่า InnerSphere จะมีพละกำลังเหนือแคลน กลัวว่า InnerSphere จะรวมตัวกันเป็น StarLeague ใหม่ได้โดยไม่มีแคลน ซึ่งเป็นสิ่งที่ Crusader Clan ยอมรับไม่ได้ กลัวว่าบ้านเกิดของแคลนจะถูกรุกราน ในที่สุดแม้แต่ Warden Clan ก็โหวตที่จะรุกราน InnerSphere โดยมีเพียงข่านอุลริกเท่านั้นที่ยังคงเลือกปกป้อง InnerSphere ด้วยผลโหวต 16 ต่อ 1 ข่านอุลริก ตัดสินใจใช้สิทธิ Trial of Refusal ด้วยกองกำลังหนึ่งคลัสเตอร์ ส่วนผลจากการประมูลทำให้อัตราส่วนเหลือเพียงสี่ต่อหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้ว Wolf ก็เป็นฝ่ายปราชัยไปด้วยกองทัพที่น้อยกว่า



หลังจบศึก Trial of Refusal ข่านเลโอแห่ง Smoke Jaguar ได้รับเลือกให้เป็นอิลข่าน เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้นำการรุกราน InnerSphere บทบาทแรกที่อิลข่านเลโอ ได้ลงมือก็คือการออกคำสั่งให้ Wolf’s Dragoon กลับมายังแคลนเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า Wolf’s Dragoon มีใจออกห่างจากแคลน เป็นไปตามที่อิลข่านเลโอคาดไว้ ดรากูนไม่ตอบรับคำสั่ง ยกเว้นเพียงนาตาช่า เคเรนสกี้ซึ่งเป็น Bloodname เพียงคนเดียวในกลุ่ม Wolf’s Dragoon เท่านั้นที่กลับมา และนั้นก็ทำให้อิลข่านเลโอเริ่มไม่วางใจ Wolf แล้ว



Clan Invasion - Operation Revival



ข่านเอเรียสกลายเป็นที่ปรึกษาที่อิลข่านให้ความไว้วางใจมากที่สุด เพราะทั้งคู่ต่างมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน ทั้งคู่ช่วยกันร่างแผน Operation Revival (หรือที่ InnerSphere รู้จักกันในชื่อ Clan Invasion) ที่จะเป็นแม่แบบในการรุกราน InnerSphere เนื้อหาของแผนการนั้นไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ค่อยๆ ไล่ยึดดวงดาวไปทีละดวงโดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการยึด Terra แผนการที่ดูเรียบง่ายแบบนี้สะท้อนให้เห็นถึงจุดอ่อนของแคลนที่ดูถูกต่อพละกำลังของ InnerSphere โดยไม่คิดว่าจะมีแสนยานุภาพเพียงพอที่จะต่อต้านการรุกรานได้



ข่านเอเรียสเสนอในสภาศึก (Grand Kurultai) ว่าแคลนที่ไปถึง Terra ได้ก่อนจะได้รับการขนานนามว่าอิลแคลน (ilClan) กลายเป็นแคลนเหนือแคลนทั้งปวง และข่านจากแคลนนั้นจะได้รับตำแหน่งอิลข่านอย่างถาวร ทำให้แผนการได้รับเสียงสนับสนุนจากแคลนอื่นๆ อย่างท้วมท้น สภาศึกตัดสินใจที่จะให้มีแคลนสี่แคลนที่ทำหน้าที่จู่โจม และแคลนที่ห้าเป็นแคลนสำรองที่แคลนอื่นๆ สามารถขอความช่วยเหลือได้หากต้องการ ในความเป็นจริงครูเซเดอร์หลายคนต่างคิดว่าห้าแคลนนั้นมันมากเกินไป พวกInnerSphere คงจะไม่มีพละกำลังพอที่จะต่อต้านแคลนได้ถึงสองแคลนเป็นอย่างมาก



แผนการถูกกำหนดคร่าวๆ ให้แคลนสี่แคลนบุกทะลวงจากตอนบนสุดของ InnerSphere ไปสู่ Terra พร้อมๆ กันเป็น 4 เส้นทาง เส้นซ้ายสุดทะลวงสู่เครือจักรภพลิแลน เส้นขวาสุดปะทะกับดราโกนิสคอมไบน์ และตรงกลางสองเส้นสู่ สาธารณะรัฐอิสระราสอัลฮาจ



สาเหตุแรกที่เลือกเส้นทางนี้ หนึ่งเพราะมันเป็นเส้นทางที่ใกล้กับบ้านเกิดแคลนที่สุด สอง สาธารณะรัฐอิสระราสอัลฮาจ เพิ่งจะก่อตั้งได้ไม่นานทำให้พละกำลังทางทหารมีน้อยกว่านครรัฐอื่นๆ และ สาม ราสอัลฮาจตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเครือจักรพบลิแลนและดราโกนิสคอมไบน์ที่เป็นอริกัน ด้วยสถานภาพทางการเมืองที่เปราะบางจึงคาดการณ์ว่าความช่วยเหลือจากนครรัฐทั้งสองที่จะยื่นให้ราสอัลฮาจจะมีน้อยมาก



Wolf ถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งในสี่แคลน เพื่อเป็นการลงโทษที่ต่อต้านต่อ Crusader ซึ่งข่านอุลริก ก็ยอมรับแต่โดยดี ส่วนแคลนทุกแคลนที่เหลือต่างเข้าร่วมประลองเพื่อหาผู้ชนะที่จะได้รับเกียรติ์ร่วมบุก InnerSphere ด้วย เพื่อเป็นการจำกัดไม่ให้สูญเสียกำลังพลเกินความจำเป็นก่อนออกสู้จริง จึงมีข้อกำหนดให้แต่ละแคลนส่งนักรบเข้าประลองได้เพียง 1 ทรินารี่เท่านั้น (1 Trinary เทียบเท่า 15 BattleMech)



ผลออกมาไม่เป็นที่น่าแปลกใจนักเมื่อ Smoke Jaguar และ Jade Falcon ต่างได้รับชัยชนะ ตามมาด้วย Ghost Bear ซึ่งเป็น Crusader Clan ที่เก่งกาจอีกแคลนหนึ่ง ส่วน Steel Viper ได้รับสิทธิแคลนสำรองไป



การประลองรอบที่สองเพื่อหาแคลนที่จะรับหน้าที่บุกเส้นทางซ้ายสุดกับขวาสุด ในสายตาของแคลน แคลนที่ได้รับมอบหมายให้บุกในสองเส้นทางนี้จะถือว่ามีเกียรติ์กว่าเส้นทางอื่นๆ เพราะต้องเป็นหน้าด่านรับศึกกับศัตรูเพื่อปกป้องเส้นทางด้านในอีกสองเส้นไปในตัว



แต่อิลข่านเลโอสั่งให้ Wolf รับเส้นทางซ้ายด้านใน ไปโดยไม่มีสิทธิเลือกเส้นทางอื่น เพื่อเป็นการหักหน้า Wolf ที่เป็น Warden Clan และต่อต้านการรุกรานอยู่แคลนเดียว อิลข่านเลโอยังตัดสินใจที่จะเลือกบังคับบัญชาการบนเรือธงของ Wolf มากกว่ายานแม่ของฝ่ายตัวเอง เป็นการบอกเป็นนัยๆ ให้รู้ว่า Wolf ถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา



เมื่อสิ้นสุดการประลองรอบสอง Jade Falcon ได้เส้นทางซ้ายสุด Smoke Jaguar เลือกเส้นทางขวาสุด ส่วน Ghost Bear ที่เป็นฝ่ายแพ้ไปจึงต้องเลือกเส้นทางขวาด้านในที่ยังเหลืออยู่



ในการประชุมแผนการขั้นสุดท้าย เหล่าผู้บัญชาการจากทั้งสี่แคลนตัดสินใจที่จะแบ่งการโจมตีเป็นสิบห้าระลอก แต่ละระลอกยาวสองเดือน และตามด้วยอีกสองสัปดาห์สำหรับพักและเติมเสบียง เมื่อสิ้นสุดระลอกที่สิบห้า กองทัพของแคลนควรจะยืนอยู่บน Terra เป็นที่เรียบร้อย
Super Robot Wars Games

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา