merry me (ต่อ)

Marry Me



:: 9th scene ::



ผมนั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ตรงข้ามสาวสวยคนหนึ่งในร้านน้ำชาแถวมหาลัย ผมกับเธอเคยมานั่งที่นี่ด้วยกันบ่อยๆ เธอสั่งคาปูชิโน่เหมือนเดิม และยังสั่งช็อกโกแล็ตให้ผมที่ยังคงนั่งทำท่าสติไม่เต็มอีกด้วย



“ไม่นึกว่าคารินจะกลับมา” ผมก้มหน้าพูดงึมงำๆ กับแฟนเก่าที่ไม่ได้เจอมาครึ่งปี

“ชั้นก็ไม่นึกเหมือนกันว่าจะได้กลับมาเร็วขนาดนี้ พอดีมีธุระด่วนที่ญี่ปุ่นน่ะ” คารินยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม “ว่าแต่เมื่อกี้เพื่อนเอย์จิเหรอ” และเธอก็ถามถึงคนที่ผมเพิ่งไล่กลับบ้านไปก่อนจนได้

“ก็...อืม” รับคำไปก่อนท่าจะดี

“ไม่เคยเห็นหน้าเลย ไม่ใช่เด็กม.เราแน่ๆ”

“เค้าเรียนม.โตเกียวน่ะ”

“เหรออออ นี่เอย์จิรู้จักเด็กหัวกะทิแบบนั้นได้ไงเนี่ย” พูดจบก็หัวเราะขำๆตามแบบฉบับของเธอ ผมก็ยิ้มรับแบบฝืนๆ ท่าทางของคารินแทบไม่เปลี่ยนไปเลย ภาพของวันวานในอดีตย้อนกลับมาฉายในม่านตาผมอีกครั้ง



ผมกับคาริน เราเริ่มจากการเป็นเพื่อนกัน ผมถูกใจเธอมากเลยเริ่มต้นขายขนมจีบ ไม่นานความสัมพันธ์ของเราก็เปลี่ยนสถานะ จากเพื่อนเป็นแฟน เป็นคนรู้ใจ แต่ในที่สุดเธอก็เลือกความก้าวหน้าของชีวิตโดยทิ้งผมแล้วรับทุนไปเรียนต่อที่ยุโรป คนสวยและเก่งอย่างคาริน ไปที่ไหนก็มีแต่คนรัก ผมเองก็ไม่อยากจะฉุดรั้งเธอไว้ เลยบอกลาเธอแต่โดยดี ให้เธอไปเรียนต่อโดยไม่ต้องสนใจผม แต่นั่นก็แค่ลมปาก...



“ชั้นยังโสดอยู่น่า” ผมตอบยิ้มๆเมื่อคารินจี้ถามถึงเรื่องความรักในปัจจุบัน

“งั้นเหรอ...” เธอคนกาแฟในแก้วอย่างใช้ความคิด “จริงๆชั้นเอง... ที่กลับมาเพราะมีปัญหาทางโน้นด้วย” ดวงตากลมโตช้อนขึ้นมองอย่างเศร้าสร้อย ทำเอาใจผมเต้นไม่เป็นส่ำ

“อืม... ไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองนี่เนอะ ก็ต้องมีบ้างแหล่ะ อย่างคารินน่ะต้องผ่านมันไปได้อยู่แล้ว ชั้นเอาใจช่วย” ผมกำมือขึ้นเหมือนจะให้กำลังใจเธอ แต่ดูไกลๆอาจเหมือนอยากต่อยหน้าก็เป็นได้ - -

“เอย์จินี่ ใจดีจังน้า ไม่เปลี่ยนเลย” ใบหน้าเรียวเล็กทิ้งตัวบนอุ้งมือ คารินนั่งเท้าคางจ้องมองผมแบบเดาความหายไม่ถูก ผมเองก็จ้องตาเธอตอบ

“ชั้นก็เป็นชั้นแบบนี้แหล่ะ”

“นี่เอย์จิ” เสียงของคารินเด็ดขาดขึ้นมาทันที

“หืม”

“เรา... กลับมาเป็นเหมือนเดิมเถอะนะ”

“............”



*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*



“เอย์จิ เอย์จิ เป็นอะไรรึป่าว” เสียงเรียกทุ้มหวานดังขึ้นข้างหู แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอจะเรียกผมให้กลับมาสู่ความเป็นจริง ผมยังคงนั่งเท้าคางที่โต๊ะทำงานในห้องนอน สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างแบบไร้จุดหมาย

“มา... แม่เรียกเอง เจ้าเอย์จิลูกบ้า~~~ นั่งอ้าปากหวอน้ำลายยืดแล้ววววว เหม่ออีกที แม่ตีอัดข้างฝาแน่!!”

“ครับแม่” ผมสะดุ้งสุดตัวเช็ดน้ำลายทันที

“เอ้อ... ให้ได้แบบนี้สิลูกคนนี้ แม่ปลุกเจ้าเอย์จิให้แล้วนะฮารุกะ เชิญตามสบายจ้ะ” ว่าแล้วเสด็จแม่ที่เคารพรักก็เดินออกจากห้องปิดประตู ทิ้งให้ผมอยู่กับผู้ชายอื่นสองต่อสอง



“ผมมาเรียกคุณอยู่ตั้งนานแล้ว ไม่เห็นคุณจะรู้สึกตัวเลย” ชายหนุ่มหน้าหวานตัดพ้อเสียงงอนๆแล้วถือวิสาสะเดินไปนั่งบนเตียงผม เฮ้ย... เจ้านี่ชักจะได้ใจใหญ่แล้ว พักนี้บุกถึงห้องเลยนะ

“กำลังคิดอะไรเพลินๆน่ะ”

“คิดถึงผู้หญิงคนเมื่อวานรึป่าว” น่าน... เซ้นส์ดีอีกต่างหาก

“ก็...นะ”

“เค้าเป็นใครเหรอ”

“เพื่อน เคยเรียนอยู่คณะเดียวกัน แต่ไปเรียนต่อต่างประเทศ” ผมหันกลับเข้าหาโต๊ะ ทำท่าหยิบสมุดเลคเชอร์มาเปิดผ่านๆ

“แน่ใจนะว่าแค่เพื่อน” ฮารุกะยังคงพูดเสียงงอนๆ อะไรวะ... ทำเหมือนภรรยาจับผิดสามีที่กำลังนอกใจเลย

“เอ้า.. เล่าก็เล่า ยัยนั่นเป็นแฟนเก่าชั้นเอง พอใจรึยังล่ะ”

“อืม... สังหรณ์ถูกแฮะ” เชื่อละ เลือดซามูไรเข้มข้นจริงๆ (เกี่ยวมั้ย) แล้วจู่ๆเจ้านั่นก็ลุกขึ้นยืนพรวด “นี่เอย์จิ วันนี้ผมมาชวนกินไปกินมื้อเย็นที่ร้านอาหารจีนน่ะ ผมเคยไปกินเป็ดปักกิ่งของขึ้นชื่อเค้าด้วยนะ อร่อยมาก...”

“โทษทีนะ ชั้นไม่ว่าง”

“นัดกับผู้หญิงคนนั้นเหรอ” ว่าแล้วก็ลงไปนั่งหงอยเหมือนเดิม

“ก็... ไม่เจอกันนานนี่นา” ผมหมุนเก้าอี้ให้หันมาปะทะกับฮารุกะ

“อืม......” ท่าทางของเขาเหมือนกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะทำไงดี ตอนแรกผมนึกว่าเขาคงจะใช้กำลังขู่บังคับแล้วลากผมขึ้นรถเบนซ์อย่างเคย แต่คราวนี้มาแปลกแฮะ

“เอาน่า เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันหลังเลิกเรียนละกันนะ ยังไงเราก็เจอกันบ่อยๆอยู่แล้วนี่” ผมเอ่ยยิ้มๆ หวังจะปลอบคนตรงหน้าได้มั่ง ไม่รู้ทำไมพอเห็นเจ้านี่หงอยๆแล้วก็พลอยใจแป้วไปด้วย หรือว่า...

“ก็ได้ สัญญานะ”

“อื้ม”

ฮารุกะเดินตัวปลิวทำท่าจะเปิดประตูห้องออกไป แต่แล้วก็หันกลับมา

“ลืมอะไรเหรอ” ผมเอียงคอถามงงๆ

“ก็...” ฮารุกะเดินยิ้มเผล่มาหยุดตรงหน้าผมแล้วก็....



หอมแก้มผมฟอดใหญ่!!!



#$^%%)_($#%^$^$^$_(#%#^$&%



ผมอุทาน(ในใจ)อย่างไม่เป็นภาษา มะกี้มันอะไรกานนนนนนนนนนนน



“มัดจำก่อนไง ไปล่ะ” คราวนี้เขาเปิดประตูออกไปแต่โดยดี ปล่อยให้ผมยืนขาแข็ง ตัวแข็ง ตาแข็ง ปากแข็ง (ไอ้นั่นไม่แข็งหรอก ไม่ต้องลุ้น) อยู่คนเดียว



มัน... มันอะไรกันเนี่ยยยยยยยยย



*-*-*-*-*-*-*-*-*



“ท่าทางเอย์จิมึนๆยังไงก็ไม่รู้ เรียนหนักเหรอ” หญิงสาวที่นั่งตรงข้ามผมกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“อืม.. ก็มีเรื่องต้องคิดเยอะน่ะ” ผมรีบคีบเส้นราเม็งเข้าปาก มื้อเย็นวันนี้ผมกับคารินมานั่งร้านประจำที่เคยมาบ่อยๆสมัยเรียน อืม... เข้าโหมดระลึกอดีตอีกแล้ว

“คิดเรื่องของชั้นอยู่เหรอ” เธออมยิ้มแล้วยื่นหน้าเข้ามาหา ทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อย “แล้วคำตอบล่ะ ว่าไง”



เมื่อวานนี้ คารินพูดขอคืนดีกับผม จริงๆเราก็แยกทางกันด้วยดี แต่เธอคงยังติดใจอยู่ว่าเธอเป็นฝ่ายทิ้งไปก่อน ผมตอบแต่เพียงว่า ขอคิดดูก่อน วันนี้คารินเลยนัดผมออกมาอีกครั้ง



“ก็... ยังคิดไม่ออก” ผมก้มหน้าก้มตาพุ้ยราเม็งเข้าปากทั้งๆที่มันก็ร้อน ทำไมผมถึงคิดไม่ตกนะ ก็บอกเค้าไปเลยสิว่าเรารักยังเค้าอยู่ แต่ทำไมปากมันไม่พูดออกไปก็ไม่รู้ โอ๊ยยย ทำไมกัน

“งั้นเหรอ ...” คารินยิ้มแล้วก็กินต่อ



หลังจากนั้นเธอก็ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ ทั้งเรื่องตอนเราเจอกันใหม่ๆ ตอนที่ผมสารภาพรัก ตอนที่เธอตกลงปลงใจ ตอนที่เราไปเดทกันครั้งแรก คุยไปผมก็นั่งยิ้มไป หัวใจของผมยังคงโหยหาความรักหวานชื่นอย่างวันวานที่เราเคยมีให้กันและกันเสมอ ผมคิดมาตลอดว่าอยากให้มันย้อนกลับมาดำเนินอีกครั้ง คิดแบบนั้นอยู่ตลอดมา จนฮารุกะเข้ามาในชีวิตของผม และทำให้ผมยุ่งวุ่นวายจนแทบไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอะไรทั้งสิ้น



“แล้วเอย์จิยังชอบเหม่ออยู่อีกรึป่าว” คารินมองผมในความมืดสลัว ตอนนี้เราทั้งคู่นั่งดื่มกันอยู่ในร้านประจำ(อีกแล้ว)

“ใช่... โดนแม่ว่าเรื่องนี้อยู่บ่อยๆเลยล่ะ” ผมยกแก้วขึ้นดื่ม แล้วก็เริ่มพูดต่อ “แม่ชอบเขกหัวชั้นจนสมองได้รับความกระทบกระเทือนหมดแล้ว”

“งั้นเหรอ ไหนขอดูหน่อยซิ โดนเขกตรงไหน” เธอเขยิบเข้ามาแล้วเอามือลูบไปตามเส้นผมชี้ฟูของผมอย่างเบามือ ตัวของคารินเบียดเข้ามาจนเกือบจะชิดตัวผม กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่เธอชอบใช้โชยเข้ามาจนอดสูดหายใจไม่ได้

“เอย์จิ...” ใบหน้าสวยที่แต่งแต้มเครื่องสำอางแต่น้อยอยู่ในระดับเดียวกับใบหน้าผมพอดี เราจ้องตากันอยู่อย่างนั้นเหมือนจะคุยกันผ่านสายตาแทน



สิ่งที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงก็คือ ริมฝีปากของคารินนั้นยังอ่อนนุ่มเหมือนเคย...



*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*



ผมหยุดเดินทันทีเมื่อเห็นร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนจ้องหน้าผมอยู่ตรงหน้ามหาวิทยาลั

ย ทำเอาคนที่เดินมากับผมหยุดนิ่งไปด้วย

“วันนี้เอย์จิจะกลับกับผมใช่มั้ย” ฮารุกะพยายามยิ้มหวานให้ได้อย่างเคยแต่กลับดูฝืนๆ ยังไงไม่รู้ สายตาของเขาจ้องมาที่มือของผมที่กุมมือคารินไว้ นี่ถ้านั่นเป็นปืนเลเซอร์ มือผมคงไหม้เป็นจุลไปนานแล้ว

“เอ่อ.. โทษทีนะ พอดีชั้น..” ผมหันไปทางหญิงสาวที่อยู่ข้างกาย

“ชั้นกับเอย์จิจะไปซื้อของด้วยกันน่ะ ขอตัวเพื่อนของคุณไปก่อนนะ” คารินพูดจบก็ออกเดินแถมลากผมไปด้วย

“เดี่ยวก่อนซี่ คุณสัญญากับผมแล้วนี่นา” ฮารุกะเอ่ยด้วยน้ำเสียงผิดหวัง ผมเองก็ไม่คาดหวังว่าต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้เลย

“ไว้ทีหลังนะ ตอนนี้ชั้นกลับกับนายไม่ได้จริงๆ” ผมตอบพลางสอดส่ายสายตาไปพลาง เผื่อว่ามีจะองครักษ์ประจำตระกูลคุโรยานางิแฝงกายอยู่แถวนี้ ดีไม่ดี ทันทีที่พวกเขาส่งสัญญาณ ชายชุดดำจำนวนหลายสิบอาจกรูเข้ามาจับตัวผมก็เป็นได้ อืม... จินตนาการบรรเจิดอีกและตู

“เอย์จิ...”

“ขอโทษนะคะที่ขัดจังหวะ แต่ชั้นกับแฟนขอตัวก่อน ไปกันเถอะเอย์จิ” คารินหันมาตัดบทตามประสาสาวมั่น แล้วเริ่มออกเดินอีกครั้ง ผมหันไปหาฮารุกะที่ยังทำหน้าเหวอๆอยู่

“ก็ตามนั้นล่ะ ไว้เจอกัน”



แล้วผมก็ทิ้งคู่หมั้นให้ยืนกัดฟันกรอดอยู่คนเดียว ในที่สุดก็ถึงเวลานี้จนได้ เวลาที่ผมจะได้ตัดขาดกับพันธะสัญญาบ้าบอที่ตามมารังควาญชีวิตผมเสียที ถ้าผมมีคนรักเป็นตัวเป็นตนแบบนี้ คงจะมีน้ำหนักพอสำหรับการขอยกเลิกการแต่งงานได้ ผมเองก็ไม่ได้อาศัยคารินมาปลดโซ่ที่ล่ามตัวเองหรอกนะ ผมรักเธอจริงๆนี่นา และถ้าจะต้องใช้ชีวิตในอนาคตร่วมกับใครสักคน ถ้าเป็นคารินผมคงไม่เสียใจแน่ๆ ผมยังไม่อยากจบชีวิตวัยรุ่นที่การแต่งงานกับผู้ชายที่แทบไม่เคยรู้จักกันมาก่อนหรอก โอเค... ถึงแม้จะมารู้จักกันทีหลังก็ตามที แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับฮารุกะมากไปกว่า”เพื่อนร่วมชะตากรรม”เลย ไม่ได้รู้สึกมากไปกว่านั้นจริงๆ



ถึงอย่างนั้นก็เหอะ...



ทั้งๆที่ผมกำลังเดินทอดน่องในห้างสรรพสินค้าติดแอร์เย็นเฉียบแท้ๆ แต่ทำไมแก้มข้างที่ถูกเจ้านั้นหอมเต็มเปาถึงรู้สึกร้อนผ่าวขนาดนี้นะ... เพราะผมผิดคำสัญญากับเจ้านั่นล่ะมั้ง เทพเจ้าแห่งคำสัญญา(มีด้วยเหรอ)ก็เลยลงโทษผม ต้องใช่แน่ๆ เพราะผมผิดคำพูดแน่ๆเลย



แต่... แค่นั้น... จริงๆเหรอ...

:: 10th scene ::



ผมยืนมองนาฬิกาข้อมืออย่างใจจดใจจ่อ ไม่ได้ออกมายืนรอสาวที่นัดแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ ผมนึกอย่างครึ้มอกครึ้มใจว่าวันนี้จะพาคารินไปที่ไหนดี แต่ไม่ทันไรเธอก็ปรากฏตัวขึ้นซะก่อน



เราเดินควงคู่กันเหมือนคู่รักหนุ่มสาวธรรมดาๆ ใช้เวลาในวันหยุดเดทกันอย่างคนธรรมดาๆ ไปเที่ยว เดินดูของ เหมือนเดทธรรมดาๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่กับความธรรมดาแบบนี้มานานเหลือเกิน อ้อ.. สิ่งที่ผมเห็นว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาก็คงจะมีอยู่อย่างเดียว ผมรู้สึกเหมือนกับมีสายตาหลายคู่คอยจ้องมองผมอยู่ ไม่ว่าผมจะเดินไปไหนหรือขยับตัวทำอะไร ผมมักจะเห็นชายชุดดำคอยป้วนเปี้ยนใกล้ตัวผมเสมอ



ถ้าจำไม่ผิด เครือคุโรยานางิมีบริษัทรักษาความปลอดภัย รึบอดี้การ์ดรับจ้างอะไรทำนองนี้นี่นา เจ้านั่นส่งคนมาตามดูผมรึยังไงเนี่ย??



“เอย์จิ ดูนี่สิ” หญิงสาวในชุดวันพีซสีฟ้าลากแขนผมให้ไปดูโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เรากำลังอยู่หน้าโรงหนังและตัดสินใจเลือกกันว่า จะดูเรื่องอะไรดี

“หืม?? จะดูเรื่องนี้เหรอ” น้ำเสียงผมมีแววตกใจเล็กน้อย

“ก็นะ ถึงพล็อตมันจะโหลๆ แต่ก็น่าดูที่สุดในบรรดาเรื่องที่เข้าฉายแล้วล่ะ นะ ดูเรื่องนี้นะ ไปซื้อตั๋วหนังกันเลย” คารินตัดสินใจเองคนเดียวเสร็จสรรพก่อนที่จะพุ่งตัวไปเข้าคิวซื้อตั๋วหนังเรื่องที่ว่า...



Marry Me : แต่งงานกับผมนะครับ



เรื่องราวของชายหนุ่มหญิงสาวที่ต้องแต่งงานเพราะโดนทางบ้านคลุมถุงชน ฝ่ายว่าที่เจ้าสาวนั้นออกอาการคัดค้านรุนแรง ในขณะที่ว่าที่เจ้าบ่าวได้แต่เก็บความรู้สึกที่แอบชอบสาวเจ้ามานานแล้วอยู่คนเดียว แนวเรื่องก็พ่อแง่แม่งอน เถียงกันไปเถียงกันมา สุดท้ายก็ลงเอยด้วยดี



แหวนหมั้นสีเงินส่องประกายอยู่ท่ามกลางความมืดของโรงหนังนั้น ทำให้ผมเริ่มฝังตัวเองลงกับภาพอดีตที่เริ่มทยอยฉายบนผืนม่านตาร้อนผะผ่าว ชีวิตจริงไม่อิงนิยายของผู้ชายสองคนที่เผชิญเหตุการณ์ราวกับหลุดมาจากจอหนังยังคงฉาย

ในหัวผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงแม้ว่าจะออกมาจากโรงหนังไกลแสนไกลแล้วก็ตาม



*-*-*--*-*-*-*-*-*-*-*



ผมนั่งเหม่อเป็นรอบที่สามร้อยสิบแปดของวันนี้ อืม.. จริงๆมันคงไม่เยอะขนาดนั้นหรอก ผมแค่รู้สึกว่าตัวเองชักจะเหม่อบ่อยขึ้นทุกทีๆ

“ได้แล้วจ้า รวมมิตรเชอร์เบ็ตของเอย์จิคุง และ ช็อกโกแล็ตมาเนียของคารินจัง” พี่โทโมโกะในชุดผ้ากันเปื้อนลายสก๊อตน่ารักเสิร์ฟไอศกรีมให้ผมกับคารินพร้อมโปรยยิ้ม

ชุดใหญ่เป็นของแถม “ไม่ได้เห็นคารินจังนานแล้วนะเนี่ย กลับมาเมื่อไหร่เหรอ”

“ก็หลายวันแล้วค่ะ” คารินหันไปคุยสารทุกข์สุกดิบกับคนคุ้นเคย ในขณะที่ผมเริ่มเหม่อเป็นรอบที่สามร้อยสิบเก้า ว้อยยยย ใครมันจะบ้าไปนับฟะ เอาเป็นว่ากุเหม่ออีกและ



คราวก่อน เจ้าฮารุกะมันบอกว่าอยากกินเชอร์เบ็ตมะนาวนี่นา แต่เราไม่ได้อยากกินซักหน่อย ทำไมสั่งมาได้วะ จะกินหมดมั้ยเนี่ย ช็อกโกแล็ตมาเนียของคารินยังดูน่ากินกว่าอีก เอาวะ ถือว่ากินแทนมัน พักนี้ไม่ได้พามันมากินไอติมเลย มันจะอยากกินมั้ยนะ จำทางมาร้านถูกรึป่าวเนี่ย ป่านนี้เจ้านั่นจะกินอะไรอยู่...



ผมนั่งคิดสะระตะจนลืมเวลา มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่โดนคารินทัก

“นี่เอย์จิ ไอติมละลายหมดแล้วนา” เท่านั้นแหล่ะ ผมก้มลงมองเจ้าหวานเย็นที่เริ่มเปลี่ยนสภาพเป็นของเหลวทันที

“อ๊า... เชอร์เบ็ตช้านนนน”

“เหม่อจนได้เรื่องอีกและ” คารินพูดยิ้มๆแล้วก็ตักไอศกรีมช็อกโกแลตชิพในถ้วยส่งเข้าปากตัวเอง

“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจแล้วเริ่มเหม่อเป็นรอบที่สามร้อย... เท่าไหร่แล้วนะ นับไม่ไหวแล้ว เสียดายจังเลย เพราะเจ้าฮารุกะนั่นแท้ๆ

“บ่นอะไรงุบงิบคนเดียวน่ะ” คู่เดทของผมยื่นหน้าเข้ามาหาจนใบหน้าแทบจะชิดกัน

“เอ้อ.. เปล่า แค่เสียดายน่ะ”

“จริงเหรอ... ไม่ใช่ว่ากำลังคิดถึงใครอยู่หรอกนะ”



จึ้ก! เสียงแทงใจดำดังสะท้อนอยู่ในหัวของผม บ้าชิบ กำลังอยู่กับแฟนแท้ๆแต่ดันมัวแต่คิดเรื่องคนอื่น (จริงๆก็ไม่ใช่คนอื่นหรอก คู่หมั้นผมเอง T T) แต่ยังไงมันก็ถือว่าเป็นการเสียมารยาทอยู่ดี



“อืม... กินต่อเถอะ” ผมรีบใช้ช้อนตักกินไอศกรีมที่ละลายไปเยอะแล้ว และรีบจ้วงอย่างต่อเนื่องเหมือนจะทำลายสถิติโลก

“เอย์จินอกใจชั้นรึป่าว”

“อ่อก... ค่อกๆๆ อั่ก” ผมเกิดอาการไอติมติดคอขึ้นมาทันใด ใครว่าไอติมฆ่าคนไม่ได้ ผมว่าผมนี่แหล่ะ จะเป็นรายแลกของโลกที่ตายเพราะไอศกรีมติดคอ โอ้ ชีวิตเอย์จิคุงอนาถแท้ ส่วนคารินนั้นยังคงนั่งมองผมแบบคนปลงตก

“จะบ้าเหรอ” ผมรีบพ่นคำแก้ตัวออกมาในขณะที่จัดการกับตัวเองได้แล้ว นี่ถ้าเจ้าฮารุกะนั่งอยู่ด้วยคงกุลีกุจอเข้ามาลูบหน้าลูบหลังผมพร้อมกันถามว่า ‘เอย์จิเป็นอะไร’ แน่ๆ แต่คารินไม่ใช่คนแบบนั้น

“เอย์จิน่ะ ถึงแม้จะเหม่ออยู่เป็นประจำก็เหอะ แต่ชั้นดูออกน่ะ ว่าเอย์จิเหม่อเพราะอะไร อย่างเมื่อกี้ถ้าชั้นคิดไม่ผิด... คงกำลังคิดถึงคนที่เพิ่งพามากินไอติมที่นี่เมื่อไม่กี่วันก่อนสินะ”



จึ้ก! เสียงแทงใจดำดังขึ้นอีกครั้ง อะไรจะรู้ใจขนาดน้านนน



“พี่โทโมโกะบอกรึไง”

“อืม เมื่อกี้นี่เอง พี่เค้ามาคุยกับชั้นเมื่อกี้แท้ๆ เอย์จิไม่ได้ยินเลยเหรอ ท่าจะอาการหนักแล้วแฮะคราวนี้” ท่าทางของเธอบ่งบอกอย่างเห็นได้ชัดว่าเริ่มอารมณ์ไม่ดี สายตาที่มองมาเหมือนกำลังพยายามมองเข้าไปให้ถึงรอยหยัก(อันน้อยนิด)ในสมองของผมว่ากำ

ลังคิดอะไรอยู่



ผมเบือนหน้าหนีแล้วมองออกไปด้านนอกร้าน จริงๆผมเองก็เป็นคนปิดความรู้สึกของตัวเองไม่เก่งนัก ต่อให้เป็นคนไม่ฉลาดขนาดไหนมานั่งตรงข้ามผมตอนนี้ก็คงดูออกว่า ผมไม่ได้สนใจคู่ควง ณ ปัจจุบันเอาซะเลย เวลาแบบนี้ผมควรจะทำยังไงดี



“คาริน...” ผมเริ่มต้นเอ่ยอย่างยากลำบาก “ชั้นน่ะนะ..” แล้วผมก็เงียบไปอีก

“เอย์จิใส่แหวนวงนี้ตั้งกะเมื่อไหร่น่ะ” เธอยกมือข้างซ้ายของผมขึ้นมา แหวนเงินที่ไม่ใช่แหวนธรรมดาลอยขึ้นมาอยู่ในระดับสายตาของผม

“ก็... เดือนกว่าแล้วมั้ง ทำไมเหรอ”

“เป็นแหวนคู่สินะ”

“................”

“คนที่ใส่แหวนแบบนี้อีกวง คงเป็นคนที่ทำให้เอย์จิบังอาจนอกใจชั้นสินะ” คารินจ้องผมราวกับจะควักเอาตับไตไส้พุงของผมออกมานอกร่าง

“เอ่อ...”

“งั้นชั้นขอพิสูจน์อะไรซักหน่อย ได้มั้ยล่ะ”



พิสูจน์?? พิสูจน์อะไรกัน กว่าผมจะหลุดออกจากภวังค์รอบที่สามร้อยเท่าไหร่ไม่รู้ของวันนี้ ผมก็มานั่งเอ๋ออยู่ในห้องของคารินเรียบร้อย (ตัดบทเร็วไปมั้ยนะ)



“เอย์จิยังต้องการชั้นอยู่มั้ย...” น้ำเสียงของคารินฟังดูออดอ้อน ในขณะที่ตัวเองเธอค่อยๆรุกคืบขึ้นมาบนตัวผมทีละน้อย



พิสูจน์ที่ว่า คงจะเป็นเรื่องอย่างว่าสินะ ทำไมผมจะไม่ต้องการคารินล่ะ ผมยังรักเธออยู่นี่นา และการทำกิจกรรมในร่มกับผู้หญิงที่รัก มันก็เป็นอะไรที่ผมอยากมานานแล้วด้วย (หื่น??) เพราะฉะนั้นไม่ทันไร ผมก็พลิกตัวกลับขึ้นมาอยู่ด้านบนและตอบสนองความต้องการของคารินทันที



“ชั้นรักเธอนะ เอย์จิ” เสียงร้องเบาๆ ดังออกมาจากร่างอุ่นที่ผมกำลังกกกอดอยู่ หากแต่ยังมีอีกเสียงที่สะท้อนออกมาจากที่ไกลๆ



ผมคง... รักคุณเข้าแล้วล่ะ



………………..



ใบหน้าแดงก่ำในคืนนั้นค่อยๆปรากฏชัดเจนขึ้นทุกทีๆ ความรู้สึกที่นิ่มหยุ่นที่ประทับตรงริมฝีปากกลับมาอีกครั้ง....



กิ๊งกริ๊งงงง กิ๊งกริ๊งงงงง กิ๊งกิ๊งกริ๊งงงงงงงงงง



เสียงริงโทนที่เหมือนกับนาฬิกาปลุกทำให้ผมหยุดภารกิจกู้ชาติแล้วรีบควานหาโทรศัพท์มื

อถือทันที คนคนนั้นโทรมาเวลานี้ ไม่น่าจะใช่เรื่องเล็กๆแล้ว

“เอย์จิ!!!! ตอนนี้อยู่ที่ไหนน่ะลูก!!!!!” เสียงที่คุณก็รู้ว่าใครดังแผดออกมาจากเครื่องขนาดที่ว่ายืนห่างออกไป 10 เมตรยังได้ยิน

“ทำไมเหรอครับแม่...” ผมรีบควานหาเสื้อผ้าที่กองๆอยู่ข้างตัวมาใส่พลางๆ เพื่อเตรียมพร้อมกระโจนไปยังสถานที่ที่คุณนายคาวามูระต้องการทุกขณะ

“รีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยนะ แม่มีเรื่องอยากจะถาม” เสียงคุณนายคาวามูระร้อนรนมากจนผมรีบร้อนไปด้วย

“ก็ถามมาทางโทรศัพท์เลยสิแม่...”

“ไม่ได้!!! ลูกต้องมาให้แม่เห็นหน้าเดี๋ยวนี้!! กลับมาให้ถึงบ้านภายใน 10 นาทีไม่งั้น...”



โห... จากห้องคาริน กว่าจะเดินทางถึงบ้านก็ต้องใช้เวลาซัก 30 นาทีเป็นอย่างต่ำ ผมมองหน้าคารินเพียงแว่บเดียวเธอก็รีบแต่งตัวและชูกุญแจรถให้เห็น



“10 นาทีงั้นเหรอ ท้าทายเอาเรื่อง” ใบหน้าสวยยิ้มอย่างนึกสนุก แต่ผมไม่ยักกะสนุกด้วย เพราะพอจะนึกออกว่าเธอคิดจะทำอะไร แต่ก็นั่นล่ะ จะปฏิเสธก็ใช่ที่ ถ้าจะให้ทันเวลา มีแต่ต้องยอมเสี่ยงตายนั่งรถซิ่งไปกับคารินเท่านั้น



....................



และผมก็มาถึงบ้านภายใน 10 นาที แม่ยืนหน้าบึ้งอยู่หน้าบ้านอย่างที่คิดไว้เลย



“เจ้าเอย์จิ มานี่เลย” แม่ตรงเข้ามาฉุดกระชากลากถูกผมให้เข้าไปในบ้าน ในขณะที่คารินเดินตามเข้ามาด้วย “นี่มันหมายความว่ายังไง”

“ไอหมายความว่ายังไงนี่คือ...” ผมกับคารินหันมามองหน้ากัน แล้วก็มองหน้าแม่ จะแนะนำเลยดีมั้ยนะว่านี่แฟนผม

“ก็เรื่องฮารุกะน่ะสิ”

“หา?”

“หนูฮารุกะมาบอกว่าจะยกเลิกงานแต่งงานน่ะ” แม่ยืนกำหมัดแน่นเหมือนพร้อมชกผมทุกขณะ

“ห๊ะ??”

“เอย์จิ ลูกไปทำอะไรให้คุณหนูฮารุกะเค้า..”

“เดี๋ยวนะคะ งานแต่งงาน.. เอย์จิน่ะเหรอ” ดูเหมือนคารินกำลังพยายามทำความเข้าใจกับเรื่องราวอยู่

“หนูฮารุกะถึงกับพูดน้ำตาคลอว่าจะไม่แต่งงานกับลูกแล้ว เป็นเพราะลูกใช่มั้ยยยย ห๊า~~~”



หญิงม่ายลูกหนึ่งตรงเข้ากระชากคอเสื้อลูกชายตัวเองในขณะที่ผมยังยืนเหวอไม่หาย แต่คราวนี้ไม่ได้มีแค่ผมที่เหวอ คารินเองก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน



ยกเลิก... งานแต่งงาน... น่ะเหรอ??



เจ้าฮารุกะนั่น เป็นคนพูดเองว่าจะไม่แต่งงาน??



ทำไมกัน....





-------------------

:: 11th scene ::



ผมยืนละล้าละลัง เดินวนไปเวียนมาอยู่หน้าประตูบ้านคุโรยานางิเหมือนป๊ะป๋าที่เป็นกังวลจนบ้าคลั่งเพราะลูกสาวหายไปกับผู้ชายทั้งคืน



ทำไงดี จะเข้าไปดีมั้ย เจ้าฮารุกะบ้า ติดต่อมันไม่ได้เลย เมื่อวานซืนโทรไปหาเป็นสิบๆรอบก็ยังไม่ยอมรับสาย เมื่อวานลองโทรอีกก็ดันปิดเครื่อง รึว่ามันจะหนีไปอยู่ในที่ที่ไม่มีสัญญาณฟะ วันนี้อุตส่าห์บากหน้ามาถึงบ้านคุโรยานางิแต่ร่างกายเจ้ากรรมดันปอดแหก ไม่กล้าเข้าไปในบ้านอีก โอ๊ยยย เซ็งตัวเอง



ผมเลิกติดต่อกับคารินชั่วขณะ ถึงแม้เธอจะยังงงๆกับเรื่องที่เกิดแต่ก็พอจะเข้าใจว่าผมอยู่ในอารมณ์ที่ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้ ผมเก็บตัวอยู่กับบ้าน จ้องมองโทรศัพท์มือถือและกดเบอร์ของฮารุกะซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมกับความรู้สึกที่ปั่นป่วนเหมือนท้องทะเลยามเกิดสึนามิ



ใจนึงก็รู้สึกลิงโลดที่งานแต่งงานถูกยกเลิกไป ยะฮู้วววว กรูไม่ต้องเป็นเจ้าฉาวแย้วววว ต่อจากนี้ไปชีวิตเอย์จิคุงจะกลับมาหลั่นล้าได้เหมือนเดิม ฮิ้ววววว แต่อีกใจกลับรู้สึกห่อเหี่ยว เสียเซลฟ์ วิตกจริต เฮ้ย... นี่เราไปทำอะไรให้คุณหนูนั่นฉุนขาดถึงขนาดกล้าประกาศยกเลิกงานแต่งงานที่ตัวเอง want นักหนาวะเนี่ย หรือว่าตูไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ - -lll อ๊ากกกก มันคาใจแท้ๆ



“อ่า... แบบว่า ฮารุกะ…” ผมคิดคำทักทายแทบไม่ทันเมื่อสาวใช้คนหนึ่งเปิดประตูต้อนรับผม ไม่รู้ว่านิ้วเวรนั่นเผลอไปกดออดตั้งกะเมื่อไหร่

“คุณคาวามูระ เอย์จิใช่มั้ยคะ” หญิงสาวในชุดเมดแบบฝรั่งกระโปรงสั้นจู๋....... จะบ้าเรอะ คนละฟอร์มกันแล้ว หญิงสาวในชุดสาวใช้แบบญี่ปุ่นโบราณถามผมกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ครับ คือว่า.. ฮารุกะน่ะ คือผมมาหาเจ้านั่น ก็คือ ผมติดต่อเค้าไม่ได้ แล้วทีนี้ ก็เลยแบบ... “ ตอบออกไปเหมือนคนสติแตก เรื่องของเรื่องคือไม่รู้จะลำดับเหตุการณ์ยังไงดีแล้ว สมองมันสับสนเหลือเกิน

“คุณหนูไม่อยู่บ้านหรอกค่ะ”

“ห๊ะ??”

“คือ... คุณหนูประสบอุบัติเหตุ เข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อวานแล้ว...”

“ห๊า~~ ทำไมไม่บอกผมมมมม เค้าไปโดนอะไรตั้งกะเมื่อไหร่หา??” สาวใช้มองหน้าผมตอบอารมณ์ประมาณว่า แล้วจะให้ไปบอกที่ไหน เวลาใดมิทราบ

“เมื่อวานน่ะค่ะ คุณหนูออกไปคนเดียว หายไปตั้งแต่เช้า พอตกบ่ายก็มีโทรศัพท์มาที่บ้าน บอกว่าคุณหนูโดนรถชน ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล...”



รถชน?? ทำไมต้องเป็นรถชนด้วยนะ



เครื่องบินชนไม่ได้เหรอ (ป้าด ไม่ใช่ประเด็นเฟ้ย)



“อยู่โรงพยาบาล โรงพยาบาลสินะ เข้าใจล่ะ” ผมรีบออกวิ่งไปทันที อะไรกันวะเนี่ย อยู่ๆก็มาบอกยกเลิกแต่งงานเอาซะดื้อๆไม่บอกเหตุผล แล้วอยู่ๆก็หายตัวไปไม่ติดต่อมา แล้วอยู่ยังไงไปให้รถมันชนได้วะเจ้าฮารุกะซื่อบื้อ ว้อยยยย อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปก่อนนะเฟ้ย มาตอบข้อข้องใจของชั้นซะดีๆ



แต่แล้ว... ผมก็หยุดวิ่ง แล้วหันหลังย้อนกลับไปตามทางที่เพิ่งผ่านมา



ตอนนี้มีสิ่งสำคัญกว่านั้น...



“เอ่อ...คือว่า..” ผมยืนหอบด้วยความเหนื่อย ก่อนที่จะพยายามเค้นเสียงออกมา



“เจ้าฮารุกะมันอยู่โรงบาลอะไรเหรอครับ”

“.................” สาวใช้คนเดิมพยายามหลบซ่อนสีหน้าเบื่อโลกและเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมาเล็กน้อย ผมยิ้มแห้งๆ แล้วก้มหัวเล็กน้อยเป็นเชิงขอโทษในความงี่เง่าของตัวเอง



*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*



กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของโรงพยาบาลทำเอาผมคันจมูกขึ้นมานิดๆ ไม่ถูกกับโรงบาลเอาซะเลย แต่ที่ต้องถ่อมาที่นี่ไม่ใช่เพราะอยากนักหรอกนะ แค่จะมาดูเจ้าฮารุกะว่ายังมีชีวิตอยู่มั้ย ตามด้วยคำถามอีกหลายข้อที่มันต้องตอบถึงแม้จะไม่มีรางวัลให้เลยก็ตาม



ผมเดินเข้ามาถึงส่วนของ “ห้องพิเศษ” พลางไล่สายตาดูตามป้ายชื่อหน้าประตู จริงๆไปถามพยาบาลเอาก็ได้ แต่ด้วยระดับความสับสนของผมตอนนี้ บางทีเหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้น...



“เอ่อ ขอโทษครับ คู่หมั้นของผมอยู่ห้องไหนครับ”

“หมายถึง... คุณผู้หญิงที่เพิ่งได้รับอุบัติเหตุมารึเปล่าคะ”

“ไม่ใช่ครับ คือ ผู้ชายน่ะครับ คู่หมั้นผมเป็นผู้ชาย แต่ก็คล้ายๆผู้หญิงน่ะครับ”

“เอ่อ... คุณคะ โรงพยาบาลประสาทอยู่อีกเขตนึงค่ะ ให้ดิฉันเขียนแผนที่ให้มั้ยคะ”



..............



อะไรประมาณนี้... เอาเหอะ ไม่เป็นไรเอย์จิคุง เดี๋ยวก็เจอเองนั่นแหล่ะ



ชายหญิงคู่หนึ่งยืนคุยกันอยู่หน้าห้องถัดไป ผมจำได้ทันทีว่าเข้าทั้งสองก็คือพ่อแม่คุโรยานางินั่นเอง ผมเดินเข้าไปหาช้าๆ สายตาทันเหลือบไปเห็นป้ายห้ามเยี่ยมที่คล้องไว้หน้าประตูห้อง



นี่เจ้าฮารุกะ... อาการหนักถึงขนาดห้ามเยี่ยมเลยเหรอเนี่ย...



“ผม.. เข้าไปได้มั้ยครับ” เสียงที่ถามออกไปสั่นๆพิกล รู้สึกใจฝ่อขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องร้ายๆหลายอย่างที่อาจจะเป็นไปได้



บางที... ฮารุกะอาจจะช็อคมากเมื่อเห็นผมกับคาริน เขาคงไม่คิดว่าผมจะเลือกแฟนจนเมินเฉยต่อเขาได้ และก็... เจ้านั่นอาจจะคอยเฝ้ามองเราสองคน จนในที่สุดความมั่นใจที่เคยมีมากล้นของเขาค่อยๆถูกบั่นทอนลงไป



เขาเคยมั่นใจหนักหนา ว่าจะทำให้ผมมีความรัก(กับเขา)ได้ แต่สุดท้ายผมก็เลือกคาริน



นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ฮารุกะตัดสินใจยกเลิกงานแต่งงาน แต่ความรู้สึกเศร้าเสียใจยังคงติดค้างอยู่ จนกระทั่งเขาสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เดินซุ่มซ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือจนถูกรถชน



นี่เขาต้องมาเจ็บตัวเพราะผมรึเนี่ย...



จินตนาการบรรเจิดสะดุดลงเมื่อคุโรยานางิคนแม่พูดกับผม

“ดิฉันคิดว่า... ฮารุกะคงไม่อยู่ในสภาพที่คุยกับคุณได้”



เฮ้ย... รึว่าถึงขนาดเป็นเจ้าชายนิทรา โคม่า ไม่ได้สติ สมองได้รับความกระทบกระเทือน บ้าน่า... หรือว่าฟื้นขึ้นมาแล้วแต่ก็จำใครไม่ได้ อ๊ากกกกก.. ไม่ไหวแล้ว ต้องเข้าไปให้เห็นหน้าสถานเดียว ไม่งั้นก็ไม่หายห่วงหรอก



“ผมจะรับผิดชอบเองครับ” มือเย็นเฉียบของผมจับลูกบิดประตู แล้วเอ่ยต่อ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฮารุกะก็ตาม... ผมจะ... แบกรับไว้เอง”



คำพูดสวยหรูที่เอามาใช้เป็นใบผ่านทาง ส่งตัวผมให้เข้ามาอยู่ในห้องสีขาวสะอาด จริงๆก็พูดไปให้โก้ๆอย่างงั้นแหล่ะ - -“ แบกรับอะไร ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน แล้วจะรับผิดชอบอีท่าไหน นั่นก็ไม่ได้คิดไว้ แหะๆ



ร่างของฮารุกะนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงกลางห้อง ดวงตาคู่งามปิดสนิท เสียงหายใจเข้าออกช้าๆ ดังแผ่วๆ บริเวณหน้าผากมีผ้าพันแผลห่อหุ้มอยู่ สายน้ำเกลือที่ห้อยข้างๆ ต่อเข้ากับมือข้างซ้าย แหวนสีเงินส่องประกายเจิดจ้าจนผมอดมองไม่ได้



“ฮารุกะ...” ผมลองเรียกออกไปเบาๆ หากแต่ผู้ถูกเรียกไม่ตอบรับแม้แต่น้อย ผมเดินเข้ามาใกล้อีกนิดจนสามารถมองเห็นใบหน้าซีดเซียวของว่าที่คู่ครอง ไม่เห็นเพียงแค่ 2-3 วัน แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนไม่ได้เจอกันเป็นเดือน

“ทำไม.. นายถึง..” คำพูดถูกกลืนหาย อยู่ดีๆ ภาพเบื้องหน้าก็มีน้ำตาเจ้ากรรมมาบังไว้



รถชนเหรอ ทำไมต้องเป็นรถชนด้วย



ผมสูญเสียครอบครัวเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ พ่อและน้องสาว... คนที่ผมรักมากต้องจากผมไปเพราะรถชน แล้วนี่อะไรกัน... ผมต้องสูญเสียคนที่รักอีกคนเพราะรถชนอีกแล้วเหรอ...



ทำไม...



ทำไมผมต้องบอกว่าเป็นคนที่รักด้วย - -“ ผมบอกตอนไหนว่าผมรักเจ้าฮารุกะนั่น ห๊า ไม่เข้าใจ บรรยากาศมันพาไปรึไงเนี่ย คนที่ผมรักเป็นผู้หญิงที่ชื่อคารินไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ผู้ชายทั้งแท่งที่นอนแบ่บอยู่นั่นซักกะหน่อย



แต่ถ้าไม่รัก งั้นทำไมอกข้างซ้ายถึงเจ็บแปล๊บๆแบบนี้ล่ะ!? ความรู้สึกนี้มันอะไรกัน



มือใหญ่ไล้ไปตามเรือนผมอ่อนนุ่ม ผมเอาแต่คิดเรื่องของหมอนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ชีวิตสงบสุขที่ดำเนินมาตลอด 20 ปี กลับต้องมาพลิกผันเพราะคนที่นอนนิ่งอยู่ตรงนี้



มาทำให้(หัวใจ)ปั่นป่วน แล้วคิดจะจากไปดื้อๆงั้นรึ?? ฝันไปเหอะเจ้าบ้า



“ตอบชั้นมาก่อนสิ ทำไมนายต้องยกเลิกงานแต่งงานด้วย คนที่ยึดถือคำพูดอย่างนาย ทำไมถึงเป็นฝ่ายบอกออกมาเองล่ะ แล้วทำไม... ทำไมนายต้องมานอนเจ็บหนักแบบนี้ด้วย…” ผมทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง ก้มหน้าลงมองพื้นอย่างหมดแรง เสียงที่เอ่ยออกมาแผ่วลงทุกที “เพราะอะไร.. เพราะอะไรถึงเจ็บขนาดนี้..”

“ผมไม่ได้เจ็บหนักขนาดนั้นซักหน่อย”

“กว๊ากกกกกกกกกก”



ผมเผลอตะโกนลั่นโดยลืมซะสนิทว่าที่นี่คือโรงพยาบาล ชายหนุ่มในชุดคนไข้ลุกขึ้นมานั่งมองผมตาแป๋วตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“นาย... นายยังไม่ตาย..”

“ก็ยังไม่ตายน่ะสิ”

“ก็เห็นป้ายห้ามเยี่ยม นึกว่า...”

“นั่นผมขอให้แขวนไว้ จะได้ไม่มีคนมารบกวนต่างหาก”



นิ่งกันไปทั้งคู่ ผมพยายามยันตัวให้ลุกขึ้นถึงแม้ขามันจะพาลหมดแรงได้ทุกขณะจิต

“ชั้น... มารบกวนสินะ” ผมทำท่าเหมือนจะออกจากห้องไปแต่กลับถูกดึงแขนไว้

“เปล่านะ” ฮารุกะส่ายหน้าดิกๆ พลางส่งสายตาอ้อนวอน

“งั้น... เกิดอะไรขึ้นล่ะ”



ฮารุกะเล่าว่า เมื่อวานเขาเกิดอยากกินไอศกรีมขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้าชวนผมเพราะคิดว่าคงอยู่กับแฟน เลยเดินทางไปที่ร้านประจำของเราตามลำพัง ระหว่างกำลังเดินกินก็เกิดอาการเหม่อ(สงสัยจะติดจากผม) บวกกับรถที่ขับมาเบรกแตก เลยหลบรถไม่ทัน



“แต่ว่า... ไม่ได้โดนชนตรงไหนหรอกครับ แผลนี่เพราะชิ้นส่วนของรถนั่นกระเด็นมาโดนต่างหาก” เขาลูบหน้าผากตัวเองเบาๆ แล้วยิ้มแห้งๆเหมือนจะบอกว่า ไม่เป็นอะไรมากซักหน่อย

“เฮ้อ... โล่งอกไปที เห็นสาวใช้บ้านนายบอกว่า โดนรถชน ชั้นก็เลยวิ่งห้อมาเต็มเหยียด ยิ่งเห็นป้ายห้ามเยี่ยมบวกกับเข้ามาเห็นนายนอนแน่นิ่งเลยนึกว่าอาการหนักจนไม่ฟื้นซะอีก คิดมากไปสารพัดเลย...” ผมหลบหน้าพยายามซ่อนน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาอีกครั้ง

“เป็นห่วงผมเ
Fiction

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา