merry me (ยางงมันยังไม่จบ!!มันมีตั้ง12ตอน)
ผมยืนอ้าปากค้างอยู่ตรงประตูหน้าของมหาลัย ปลายสายตาของผมกำลังจับจ้องรถเบนซ์คันงามที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้าม และก็มีใครบางคนยืนส่งยิ้มให้ผมแต่ไกล
ตายล่ะวา.... อยากจะหายตัวซะเดี๋ยวนี้เลย รึไม่ก็หันหลังแล้ววิ่งหนีซะ แต่ขาก็เสือกไม่มีแรงอีก
ว๊ากกกก... มันเดินมาหาแล้วววว ใครบางคนเดินมาจากรถเบนซ์มะตะกี้กำลังพุ่งมาหาผมมมมม
“เลิกเรียนตรงเวลาดีนะครับเอย์จิ” ชายหนุ่มยิ้มหวานทักผมเมื่อเดินมาถึง ผมเลยทักกลับด้วยการยิ้มแห้งๆให้ทีนึง
“เรียนหนักมากเลยเหรอครับ หน้ายุ่งเชียว” เขาจ้องหน้าผมเขม็งเหมือนจะหาสิวทุกเม็ดที่ขึ้นบนหน้า
“ก็... นิดหน่อย” อะไรวะ นิดหน่อยที่ว่า “คุณ... มาทำอะไรที่นี่เหรอ” ผมถามออกไปทั้งๆที่พอจะเดาคำตอบได้
“ก็มารับเอย์จิไง” ป้าด... ตูว่าแล้ว “คุณอยากไปที่ไหนก่อนกลับบ้านรึเปล่า เดี๋ยวผมบอกคนขับรถให้พาไปได้นะ”
พอได้ยินแบบนั้นผมเลยมองข้ามไหล่ไปยังรถราคาแพงที่จอดอยู่ เออ... มีคนขับรถจริงๆด้วย ใส่ชุดซามูไรด้วยรึป่าววะ โอย... วิตกจริต
“คือ ความจริงผมอยากกลับบ้านเลยน่ะ มีรายงานที่ต้องรีบทำ” ผมโกหกไปงั้นๆแหล่ะ ไม่มีงานบ้าบออะไรหรอก อีกอย่าง ผมนัดเพื่อนไว้ทุ่มนึงซะด้วย กะจะไปตระเวนราตรีให้ลืมเศร้า แต่....
“งั้นเราไปกินมื้อเย็นด้วยกันนะ ผมจองโต๊ะที่ร้านอาหารไทยเอาไว้ตอน 6 โมงเย็น นี่ก็ 5 โมงกว่าๆแล้ว คุณคงหิวแล้วล่ะสิ ว่าแต่.. คุณเคยกินอาหารไทยมั้ยล่ะ” คนตรงหน้าผมยังคงเจื้อยแจ้วโดยไม่สนใจผมที่ร่ำๆจะกลับบ้านซักนิดส์
“เอ่อ.. ผมไม่รบกวนคุณดีกว่านะครับ คุณคุโรยานางิ”
“อ๊ะ... บอกแล้วไงว่าให้เรียกว่าฮารุกะน่ะ” แง่ะ... โดนจนได้ “แล้วก็ไม่เป็นการรบกวนอะไรด้วย ผมจะเลี้ยงข้าวเย็นคู่หมั้น มันก็ไม่เดือดร้อนอะไรซักหน่อย”
“แต่... ผมเกรงใจ” ครับ เกรงใจมากกก ไม่อยากจะบอกว่า กุจะรีบกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าว้อย จะได้ไปเที่ยวกลางคืนซักที แฮ่~
“แหม... อย่าเกรงใจเลย” ว่าแล้วฮารุกะก็ตรงเข้าเกาะแขนผมหนึบ! “รถผมจอดอยู่นู่นอ่ะ ไปขึ้นรถกันเถอะ”
เฮ้ย... ไม่นะ ผมกำลังจะโดนลักพาตัว!! ใครก็ได้ช่วยผมที~~ ผมพยายามดึงแขนให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมของคุณหนูร่างบาง แต่ไม่นึกว่าแขนผอมๆนั่นจะซ่อนแรงมหาศาลเอาไว้
“เอ่อ... ไม่ต้องลากผมก็ได้” ผมเอ่ยเบาๆในขณะที่เหลียวมองรอบตัวเพื่อหาคนช่วย เอาวะ ถ้าเกิดเจอเพื่อนซักคนอาจโมเมว่าต้องไปทำงานกับเพื่อนต่อได้มั่ง
“อ่า... นั่นสิ ผมลืมไป ลากไปแบบนี้ดูไม่ดีเลยเนอะ” เฮ้อ... รอดตัว เขายอมปล่อยแขนผมแล้ว “งั้นไปกันเถอะ” พูดจบก็จับมือผมหมับ! โอ้ว...แม่เจ้า ช่างกล้าหาญชาญชัยนัก กล้าจับมือผู้ชายก่อนเรอะ!! อ๊ะ... แต่ฮารุกะนั่นก็ผู้ชายเหมือนกันนี่
“คือ... ผม” ผมพยายามจะต่อต้าน แต่อย่างว่าล่ะนะ ผมแพ้คนสวย ....................... ไม่ช่ายยยยย ผมตกใจจนขาหมดแรงต่างหาก! “ผมอยากกลับไปกินข้าวเย็นกับแม่น่ะครับ”
“อ้อ ไม่ต้องห่วงครับ ผมลืมบอกไปว่าคุณแม่คุณได้รับเชิญให้ไปทานอาหารเย็นที่บริษัทของคุณพ่อน่ะ” เฮือก... แม่น่ะแม่ ทำแบบนี้กับลูกชายตัวเองได้ไง “อ่ะ... เชิญครับ” ฮารุกะเปิดประตูรถให้ผมเข้าไปนั่ง ผมพยายามยืดคอหาเพื่อนอีกรอบ ทำไงดี ผมต้องโดนพาไปปู้ยี่ปู้ยำ ไม่ได้กลับมาในสภาพเดิมแน่ ถ้าจะหนีก็ต้องรีบหนีตั้งแต่ตอนนี้ บางทีผมอาจโดนมอมยา แล้วก็โดนจับไปทำอย่างงั้นอย่างโง้นอย่างงี้แน่ๆ หรือไม่ก็โดนพาไปขังคุกใต้ดินในบ้านคุโรยานางิ โอ้... ไม่นะ ผมไม่ยอมมมม
“เอย์จิ... เอย์จิ! เป็นอะไรไป นั่งนิ่งเชียว”
เสียงนุ่มๆเรียกสติผมกลับคืนมา เอ๊ะ... ผมนั่งหลับในคาบเรียนรึป่าวนะ เผลอฝันกลางวันเรื่องน่ากลัวๆไปซะแล้ว
“อีกไม่นานก็ถึงร้านอาหารแล้วล่ะครับ คงหิวแล้วใช่ม้า อดทนอีกนิดนะครับ”
หา... ร้านอาหารเรอะ?? หมายความว่าไง ผมนั่งเรียนอยู่ไม่ใช่เรอะ พอได้สติเต็ม 100% ผมก็เหลียวมองรอบตัว แล้วก็รู้ว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ในรถตรงเบาะหลังต่างหาก!! ข้างๆผมมีผู้ชายคนนึงเอียงคอมองด้วยความสงสัย ผมพยายามนึกให้ออกว่าหน้าแบบนี้เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“ร้านที่จะไปนี่นะ เป็นร้านของเพื่อนพ่อผม บ้านเค้ากับบ้านคุโรยานางิน่ะสนิทกันมานานแล้วด้วย”
คุโรยานางิเหรอ? เอ... เคยได้ยินที่ไหนนะ
“คุณหนูฮารุกะครับ จะให้ผมเอารถเข้าไปจอดข้างในมั้ยครับ” เสียงต่ำๆดังมาจากด้านหน้า ผมหันไปตามเสียงก็พบกับชายกลางคนในชุดสูท(ซึ่งดูดีกว่าชุดที่ผมใส่เรียนเป็นไหนๆ)กำลังชะลอรถเข้าข้างทาง แล้วเมื่อกี้เค้าพูดกับใครกับ คุณหนูฮารุกะงั้นเรอะ??
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมกับเอย์จิอาจจะอยู่นานหน่อย ไม่ต้องรอละกันนะ”
คุโรนายางิ ฮารุกะ... ใช่แล้ว!! ผมโดนคุโรยานางิ ฮารุกะลักพาตัวมาจากมหาลัยนี่เองงงงง!!!!
*-*-*-*-*-*-*-*-*
รู้สึกพักนี้ความทรงจำของผมจะขาดหายไปเป็นช่วงๆ บางครั้งบางคราว พอรู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จัก กับคนที่ไม่คุ้นตา ไม่รู้ว่ามาได้ยังไง ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน หรือว่าสมองผมจะได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักจากตอนที่ตกเตียงคราวก่อน??
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่สติของผมหายไปช่วงหนึ่ง แล้วพอผมรู้สึกตัวก็พบว่าผมกำลังนั่งทานอาหารอยู่ในภัตตาคารที่ไม่เคยเข้า(และคงไม่มีโอกาสได้เข้า) ตรงหน้าผมมีผู้ชายท่าทางคุ้นๆ กำลังตักข้าวใส่ปาก
คุโรยานางิ ฮารุกะ ผมนึกชื่อนี้ออกใน 2 วินาที เร็วขึ้นมานิดนึงแฮะ...
“อาหารไม่ถูกปากเหรอครับ หรือว่าคุณไม่กินเผ็ด” เขาถามผมอย่างสุภาพ อาหารตรงหน้าเต็มไปด้วยเมนูแนะนำ และแพงซะด้วย สงสัยว่าผมจะนั่งเหวอนานไปหน่อย ต้องไปให้หมอตรวจสภาพสมองซะแล้ว เอ๋อบ่อยๆแบบนี้ รู้สึกไม่ค่อยดีเลย
“เอ่อ.. อร่อยดีครับ เพียงแต่.. ผมกำลังคิดถึงแม่อยู่น่ะ” ตอบส่งๆไปงั้นๆ จริงๆก็คิดถึงแม่ด้วยน่ะแหล่ะ คิดว่าแม่ใจร้าย ปล่อยลูกชายมานั่งกินข้าวกับใครก็ไม่รู้(?)ตามลำพังสองต่อสองได้ไง ไม่เป็นห่วงรึไงกัน แม่นะแม่
“อืม... ปกติคงกินข้าวกันสองคนสินะครับ คุณแม่กับเอย์จิมีกันแค่สองคนนี่เนอะ” แน่ะ... มาถือวิสาสะเรียกแม่ผมว่าคุณแม่อีกแล้ว ถึงจะเป็นคู่หมั้นกันแล้วแต่ผมถือนะเว้ย
พูดถึงคู่หมั้น ทำให้ผมนึกออกอีกหลายอย่าง แสงสีเงินส่องสว่างวาบจากนิ้วนางข้างซ้าย มันกำลังบอกว่า ผมถูกจองตัวไว้แล้ว และอีกไม่นาน... ผมก็คงถูกบังคับให้เข้าพิธีแต่งงาน งานแต่งงานที่เกิดขึ้นเพราะคำสัญญาของปู่ ไม่ใช่เพราะความสมัครใจของผม
และคนที่จะเข้าพิธีกับผม ก็อยู่ตรงหน้านี่แล้ว...
“พ่อผม กับน้องสาว... เมื่อก่อนเรากินข้าวเย็นกันสี่คนพร้อมหน้า” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมขุดคุ้ยเรื่องอดีตอันแสนสุขนั่นขึ้นมาอีก คิดอีกครั้งมันก็เศร้าแฮะ “ถึงแม้ว่ากับข้าวบนโต๊ะจะมีแค่เทมปุระอย่างเดียว แต่มันก็อร่อยมากเลย” ผมยิ้มน้อยๆก่อนที่จะตักข้าวเปล่าใส่ปาก
“ก็เป็นครอบครัวนี่เนอะ อยู่กันพร้อมหน้าแบบนั้น กินอะไรก็อร่อย ดีจังเลยน้า... ผมอิจฉาคุณจัง” เขานั่งเท้าคางแล้วมองผม ตอนนั้นผมได้แต่คิดว่า คุณหนูผู้สุขสบายอย่างเค้าจะมาอิจฉาอะไรผม หารู้ไม่ว่า... เสียงเรียบๆนั่นแฝงไว้ซึ่งความเศร้าอย่างสุดจะหยั่ง
“จริงๆ... คนที่นั่งตรงนี้ และก็... คู่หมั้นของคุณจริงๆต้องเป็นยัยอามินั่น เอ่อ.. น้องสาวผมน่ะ” ผมเอ่ยถึงน้องตัวแสบสุดที่รัก “ถ้าเป็นยัยนั่น ผมคงจะยินดีกับการแต่งงานครั้งนี้บ้าง แต่ว่า...”
“นี่...” ฮารุกะเอ่ยขัดคอ สงสัยจะรู้แน่ๆว่า ผมจะพูดอะไร “เรามาสร้างครอบครัวกันเถอะ”
พรวดดดดดด!! น้ำต้มยำกุ้งที่ผมเพิ่งตักเข้าปาก กระเด็นไปอยู่บนจานข้าวทันใด อะ... อะไรนะ?? เมื่อกี้ได้ยินอะไรแปลกๆชวนขนลุกอีกแล้ว เพียงแค่ประโยคๆเดียวทำเอาบรรยากาศซึ้งๆเมื่อกี้ระเหิดหายไปหมด
“ถึงผมจะไม่ได้แต่งงานกับคุณอามิ ไม่ได้มีลูกกับคุณอามิ” ฮารุกะพูดด้วยเสียงตื่นเต้น เหมือนคนที่เพิ่งค้นพบอะไรบางอย่าง “แต่ว่าผมก็แต่งงานกับคุณได้ ถึงมีกันแค่สองคนเราก็สร้างครอบครัวที่อบอุ่นได้นี่ จริงมั้ย?? อ้าวเอย์จิ... เอย์จิ เป็นอะไรรึป่าว”
คราวนี้ผมไอแค่กๆเหมือนคนเป็นวัณโรค ดูเหมือนไอ้น้ำต้มยำเมื่อกี้มันจะขึ้นจมูกผมด้วย ทำเอาแสบไปหมด โอย... ทรมาน
ไม่น่าเชื่อว่าโลกนี้จะมี ”ผู้ชาย” ที่จะคิดจะสร้าง “ครอบครัว” กับ “ผู้ชาย” ด้วยการ “แต่งงาน” (เน้นหลายคำจริงวุ้ย) ถ้าเป็นผู้ชายที่รักกับผู้ชาย อันนั้นผมยอมรับว่ามันก็มีอยู่หรอก แต่... ในกรณีนี้มันออกจะพิลึกไปหน่อย
หรือว่า.. ฮารุกะจะมองผมเป็นผู้หญิง??
ผมรีบนึกสภาพตัวเองในกระจกจากการส่องครั้งล่าสุด ผมพบว่า คนในกระจกนั่น ซึ่งก็คือผม มันก็เป็นผู้ชายธรรมดาๆคนนึงนี่เอง ผมยุ่งๆไม่ค่อยจะเป็นทรง คิ้วเข้มได้รูปถึงแม้จะไม่ดกมากก็ตาม ดวงตาสีเข้มค่อนข้างโต จมูกไม่โด่งมากนัก ริมฝีปากไม่บางไม่หนา แต่รวมๆทั้งหน้าแล้วก็ถือว่าเข้าขั้นใช้ได้ทีเดียว ที่ผมกล้าพูดขนาดนี้เพราะยัยอามิที่หน้าเหมือนผมยังมีคนชมว่าหน้าตาดีเลยนี่หว่า งั้นผมก็คงหน้าตาดีเหมือนกัน...... มั้ง -*- รูปร่างของผม ถึงจะไม่กำยำล่ำสันเหมือนพวกนักกีฬา แต่ก็มีกล้ามในระดับนึง(?) ขาค่อนข้างยาว ส่งผลให้ดูตัวสูงกว่าตัวเลขจริง ซึ่งมันก็ประมาณ 170 ปลายๆล่ะ เอ๊อ.... ดูยังไงผมก็เป็นผู้ชายแมนๆ แต่ทำไมเจ้าฮารุกะนั่น ถึงปฏิบัติกับผมเหมือนผมเป็นว่าที่ภรรยาผู้น่ารักเลยวะ โอ๊ยยย เครียด
“ไม่เป็นไรนะ ผมไม่รีบหรอก” ฮารุกะยิ้มหวานตามแบบฉบับของเขา “ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 2 เดือน เราค่อยๆเรียนรู้กันไปก็ได้เนอะ” เขายังคงพูดด้วยท่าทางใจเย็นโดยที่ไม่สนใจความกระอักกระอ่วนของผมเลย
“แต่ยังไงผมก็ไม่เปลี่ยนความตั้งใจหรอกนะ” ผมรวบช้อนแล้วบอกด้วยเสียงหนักแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ผมจะไม่แต่งงานกับคุณ... ผมไม่มีวันแต่งงานกับผู้ชายเด็ดขาด”
เด็ดขาด... เด็ดขาด... เสียงนั่นยังคงดังต่อเนื่องในห้วงความคิดของผม ฮารุกะนิ่งเงียบไป มือที่จับช้อนค่อยๆถอยลงไปวางบนตัก ดวงตาคู่ใสฉายแววของคนกำลังรวบรวมความคิด หรือว่าเขากำลังตรึกตรองอย่างหนักว่าควรจะปล่อยผมไปตามทางซักที
“หรือว่า...” ริมฝีปากอวบอิ่มขยับขึ้นลง “ผมต้องไปแปลงเพศเป็นผู้หญิงซะแล้ว”
พรืดดดดด.... ผมแทบจะร่วงหล่นจากเก้าอี้ไปนั่งบนพื้นซะให้รู้แล้วรู้รอด พูดอะไรออกมาเนี่ยยยย นี่ไม่คิดว่าควรจะยกเลิกงานแต่งงานครั้งนี้เลยเรอะ! โอ๊ย อยากเอาหัวโขกเต้าหู้ตาย ทำไมถึงมีความคิดพิลึกพิลั่นผิดคนธรรมดาอย่างนี้ เอ๊ะ......? รึว่าจริงๆแล้วคุณหนูนั่นจะเป็น....... กระเทย =[]=
“แต่ผมชอบเป็นผู้ชายมากกว่านี่นา.... ไม่แปลงเพศหรอก สบายใจได้เลยเอย์จิ” มันน่าสบายใจตรงไหนกันครับ คุณคุโรยานางิที่เคารพ ผมพยายามทรงตัวให้นั่งอยู่กับที่ ถึงแม้ว่าจะรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงถูกสูบหายไปแล้วก็ตาม
“คือ... ผมถามอย่างนึงนะ คุณชอบผู้ชายรึยังไงกัน??” ผมลองถามคำถามชวนคิดออกไป จะถามตรงๆว่า คุณเป็นเกย์ใช่มั้ย? มันก็กระดากปากไปหน่อย
“ไม่นะ ผมว่าผมไม่ได้เป็นเกย์” พรูดดดด อุตส่าห์เลี่ยงคำนี้แล้วเชียว ดันพูดออกมาได้โต้งๆ “ผมไม่ได้ชอบใครเพราะคนคนนั้นเป็นผู้ชายนี่ ผมก็เป็นผู้ชายคนนึงที่รู้สึกพอใจกับเพศตรงข้าม เหมือนๆกับคุณน่ะแหล่ะ” ดวงตาคู่งามจ้องผมเขม็ง น้ำเสียงจริงจังไม่มีวี่แววของการโกหกแม้แต่น้อย ทำให้ผมเชื่อเขาทุกคำพูด
“งั้นทำไมถึงมาวุ่นวายอะไรกับผมเล่า” ผมบ่นเบาๆ คิดว่าเขาคงไม่ได้ยิน แต่...
“ผมวุ่นวายเหรอ??” เฮือก!
“ก็.. ไม่ใช่ คือ...ไงล่ะ”
“ยังไงผมก็ไม่เปลี่ยนความตั้งใจหรอก” ฮารุกะพูดหนักแน่น เอ๊ะ... รู้สึกเหมือนประโยคนี้ผมเองก็เพิ่งจะใช้ไปนี่ “ผมจะแต่งงงานกับคุณ ผมไม่มีวันล้มเลิกเด็ดขาด”
พ่อครับ ตอนนี้พ่ออยู่ที่ไหนครับ พ่อได้ยินหรือเปล่าว่าลูกชายพ่อกำลังโดนผู้ชายจ้องจะตะครุบตัวไปทำภรรยาอยู่น่ะ T T เพราะสัญญาของพ่อของพ่อแท้ๆ (ก็ปู่น่ะแหล่ะ) ทำไมถึงไปให้สัญญากับตระกูลซามูไรที่รักษาสัตย์ถึงขนาดนี้กัน แล้วทำไมพ่อถึงรอดตัวแต่ผมไม่รอดล่ะครับ เราก็เป็นผู้ชายเหมือนกันนี่ ป่านนี้พ่อกำลังนั่งหัวเราะผมอยู่กับคุณปู่รึป่าวครับ
ยัยอามิ ตอนนี้แกอยู่ไหนน่ะ แกได้ยินมั้ยว่าพี่ชายแกกำลังรับกรรมแทนส่วนของแกอยู่นะ ไม่คิดจะช่วยอะไรพี่เลยเรอะ ทำอะไรก็ได้(ยกเว้นลากพี่ไปอยู่ด้วย) ขอให้พี่ปลอดภัยจากผู้ชายคนนี้ที~ แล้วพี่จะเอาสตรอเบอรี่ชีสเค้กของโปรดแกไปให้ถึงหลุมศพเลย
***************
Marry Me
:: 5th scene ::
ผมยืนละล้าละลังอยู่ตรงใต้ตึกเรียน 1 ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหน้ามหาลัย เมื่อตะกี้ผมเห็นรถเบนซ์ท่าทางคุ้นๆแว่บนึงแฮะ ไม่รู้ตาฝาดรึป่าว จริงๆแล้วอาจจะเป็นคนมาติดต่อราชการหรือนักศึกษาบ้านรวยขับมาโชว์ก็ได้ แต่มันก็ทำให้ผมไม่ค่อยอยากเดินออกไปทางประตูหน้านัก ผมกลัวว่าสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดมันจะเกิดขึ้น กลัวว่าจะเจอคนที่ไม่อยากเจอ...
“อ้าวเอย์จิ มายืนลับๆล่อๆอะไรอยู่ตรงนี้น่ะครับ กลับกันดีกว่า ผมให้คนขับรถจอดรถรอไว้ใกล้ๆนี้เอง” เสียงที่แสนจะคุ้นหู แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่อยากได้ยิน กระชากผมให้กลับสู่โลกปัจจุบัน ลำคอของผมค่อยๆหันไปหาต้นเสียงเหมือนหุ่นยนต์ที่ข้อต่อไม่ได้รับการหยอดน้ำมันหล่อลื่น
นั่นไงล่ะ มันเกิดขึ้นแล้ว ผมเจอเขาคนนั้นอีกแล้ว T T
*-*-*-*-*-*-*-*-*
หญิงสาวในชุดผ้ากันเปื้อนลายทางบรรจงวางก้อนกลมๆเย็นๆลงบนโคนรสช็อกโกแลตอย่างเบามือ
ก่อนที่จะบีบครีมนุ่มๆแต่งแต้มลงไป ร้านไอศกรีมหน้าสถานีรถไฟใกล้กับมหาลัยผมขึ้นชื่อเรื่องรสชาติอันหลากหลายและบริการแสนประทับใจมานาน ขนาดผมยังรู้จักและเข้าออกร้านนี้บ่อยๆตั้งแต่ขึ้นมัธยม ผมรับไอศกรีมโคนมาแล้วส่งต่อให้คนข้างๆ และหันไปรอรับอีกโคนที่กำลังตกแต่งด้วยท้อปปิ้งนานาชนิด
“กินเลยสิ เดี๋ยวก็ละลายซะก่อนหรอก ไอติมที่นี่ผมรับประกันความอร่อยเลยนะ เดี๋ยวเลี้ยงเลยโคนนึง อ๊ะ..พี่ครับ ไม่ต้องใส่ลูกเกดเหมือนเดิมนะครับ” ผมหันไปทักพนักงานขายไอศกรีมเมื่อเห็นเค้ากำลังตักสิ่งที่ผมไม่ชอบเป็นอันดับ 7 (อีก 6 อันดับจะเป็นไงก็ช่างมันเหอะ)
“ไม่ยักกะรู้ว่าคุณไม่กินลูกเกด” เจ้าของเสียงกำลังแลบลิ้นเลียก้อนนุ่มๆรสวนิลา ผมเผลอมองตามการเคลื่อนไหวนั่นอย่างไม่รู้ตัว เหมือนวัวที่กำลังถูกจูงจมูก(?)
“ก็ไม่ชอบนี่ ทั้งหมดเท่าไหร่ครับ” ผมหันไปถามพร้อมๆกับล้วงเงินในกระเป๋าออกมาพอดีจำนวนเงิน ก็รู้ราคาอยู่แล้วน่ะแหล่ะ แต่ก็ถามพอเป็นพิธี พนักงานชุดลายทางรับเงินแล้วยิ้มให้อย่างการค้า เอ๊ย เป็นมิตร
“โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ” ครับผม ผมก็มาประจำแหล่ะพี่ ทำเป็นจำไม่ได้ “ว่าแต่... เอย์จิคุง แฟนใหม่เธอคนนี้สวยคนละแบบกับแฟนคนก่อนเลยนะ อย่าลืมพามาซื้อไอศกรีมที่นี่บ่อยๆล่ะ”
พรืดดดดดดด.... หน้าผมพุ่งปักลงบนเจ้าก้อนหวานเย็นเต็มๆ พี่สาวขายไอติมหัวเราะก๊าก ส่วนคนที่ถูกทักว่าเป็นแฟนผมรีบหาผ้าเช็ดหน้าจ้าละหวั่น
“โอ๊ย พี่โทโมโกะ ถึงผมจะพาแฟนทุกคนมากินไอติมที่นี่ก็เถอะ แต่...” ผมหันไปมองคนที่ตั้งหน้าตั้งตาเช็ดคราบเลอะๆที่เปรอะเต็มหน้าผม “แต่คนนี้น่ะ...”
“ผมไม่ใช่แฟนเค้าหรอกครับ” คำตอบที่ออกมานั้น ทำเอาผมตะลึงอึ้งเล็กน้อย ลองเจ้าตัวพูดเต็มปากเต็มคำแบบนี้ พี่โทโมโกะคงไม่ซักไซ้อะไรอีกแหง
“ฮารุกะ...” ผมเผลอเรียกชื่อเค้าไปแบบเคลิ้มๆ
“แหม... พี่ก็ล้อไปงั้นแหล่ะ” พี่โทโมโกะหัวเราะร่วน ที่ผมกล้าเรียกชื่อต้นของพี่เค้าเพราะเราสนิทกันมานาน พี่แกทำงานที่นี่มาหลายปี เหมือนที่ผมเวียนว่ายตายเกิดอยู่ที่ร้านนี้มาหลายปีเช่นกัน “ถ้าเอย์จิคุงมีแฟนเป็นผู้ชาย พี่คงเสียดายแย่...”
“ผมเป็นมากกว่าแฟนน่ะครับ” พูดจบก็ยิ้มหวานสุดขีดแล้วก็หันมาหาผมที่เอาหน้าทิ่มไอติมอีกรอบเพราะคำพูดประโยคเดียว เจ้านั่นเข้าใจความหมายของสิ่งที่พูดรึป่าวเนี่ย พูดแบบนั้นเหมือนคนเป็น.... เอ่อ... เป็น.....
“อะ..... อะไรนะ?” ยังมีคนที่อึ้งกว่าผมอีก พี่สาวขายไอติมนั่นเอง “นี่... พวกเธอสองคน”
“เอ่อ.... พี่ครับ คือผมต้องไปก่อนแล้ว ไว้จะมาใหม่นะคร้าบ” ว่าแล้วก็จรลีหนีออกนอกร้านก่อนจะโดนสอบสวนซะเลย
ว่าแต่ว่า... ทำไมผมถึงมาจู๋จี๋ดู๋ดี๋กินไอติมกับเจ้าฮารุกะกันสองต่อสองได้ล่ะ ขนาดผมเองยังงงๆนิดหน่อย (โรคเก่ากำเริบอีกแล้ว เอ๋อเป็นพักๆ) จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าผมไม่อยากนั่งไอ้รถเบนซ์กลับ แล้วก็โดนคุณหนูซามูไรตื๊ออยู่พักใหญ่ แต่ผมยังยืนกรานว่าจะนั่งรถไฟแล้วเดินกลับบ้าน ไปๆมาๆ คุณเธอก็มาเดินกลับเป็นเพื่อน(?)ผมได้ แล้วมันก็เดินผ่านร้านไอศกรีมสุดโปรดเลยเดินเข้ามา เหตุการณ์หลังจากนั้นก็เป็นดังที่ได้อ่านข้างบนนั่นแล
เรื่องจริงอีกอย่างคือ ไม่ว่าผมจะมีแฟนมากี่คน ผมต้องพาเข้าร้านนี้ให้ได้ ถ้าชอบไอติมเหมือนผม ก็ถือว่าผ่าน .............. รู้สึกวิธีเลือกแฟนมันแปลกๆมั้ย - - ช่างมันเถอะ ยังไงตอนนี้สถานะของผมก็คือ “โสด” อยู่แล้ว
เอ๊ะ... แต่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนแย่งความเป็นโสดยังไงก็ไม่รู้
“ถ้าผมบอกพี่คนนั้นว่าเราเป็นคู่หมั้นกัน คิดว่าเค้าจะตกใจมั้ย” ชายหน้าหวานไม่แพ้ของหวานที่อยู่ในมือหันมาถามผม ท่าทางเขาเองก็กำลังเอร็ดอร่อยกับไอศกรีมไม่น้อย อืม... ผ่าน (เฮ้ยๆ)
“ไม่ตกใจก็แปลกแล้ว จนป่านนี้ผมยังตกใจไม่หายเลยที่ต้องหมั้นกับคุณน่ะ มีที่ไหน ผู้ชายหมั้นกัน แต่งงานกัน” ผมส่ายหัวดิกๆแล้วกัดโคนกรอบคำใหญ่ ถึงตอนนี้ผมคงไม่ต้องเล่าเรื่องซ้ำแล้วมั้ง ว่าทำไมเราถึงต้องแต่งงานกัน
“อ๊ะ... ถึงสถานีรถไฟแล้ว” คู่สนทนาผมไม่ยักกะสนสิ่งที่ผมต้องการจะบอกซักนิดส์ เขาวิ่งตรงเข้าไปแล้ววิ่งออกมาหาผมและก็เข้ามากึ่งลากกึ่งดึงให้ผมซื้อตั๋วให้
สงสัยคุณหนูคนนี้จะไม่เคยขึ้นรถไฟเองแฮะ อย่างว่านะ บ้านรวย รถก็มีหลายคัน คนขับรถยังมี จะไปที่ไหน ขอแค่ออกปาก ช่างสะดวกสบายผิดกับยาจกอย่างเราอะไรเช่นนี้ ท่าทางของฮารุกะเวลาได้ขึ้นรถไฟดูเหมือนเด็กตัวเล็กๆที่ได้รับอนุญาตให้ออกมาเดินนอก
บ้านเป็นครั้งแรก ผมมองแล้วถึงกับอมยิ้ม .................................. ไม่ได้ปิ๊งรึหลงเคลิ้มอะไรหรอกนะ ผมขำต่างหาก - - คนรวยนี่บางเรื่องก็ไร้เดียงสาแฮะ
“นี่เอย์จิ รถไฟนี่ก็วิ่งเร็วเหมือนกันเนอะ” ดวงตาคู่งามมองภาพตึกรามบ้านช่องที่ผ่านหน้าต่างอย่างตื่นตาตื่นใจ
“อ้าว ก็แหงสิ ถามจริงเหอะ ชีวิตนี้เคยไปไหนมาไหนเองมั่งมั้ย”
“อืม..... นั่นสิเนอะ” พูดจบก็ตั้งใจมองวิวทิวทัศน์ภายนอกต่อ เมื่อเห็นดังนั้นผมเลยปล่อยให้เจ้าชายน้อยซึมซับเรื่องราวของโลกภายนอกต่อไป แล้วก็คอยยืนกันผู้คนที่เบียดเสียดเข้ามาทุกนาที (ตูเป็นบอดี้การ์ดรึไงฟะ -*-)
ในวันต่อมา ต่อมา และต่อมาอีก ผมก็เป็นอันต้องเจอคุโรยานางิ ฮารุกะ มาคอยรับผมหลังเลิกเรียนทุกครั้งไป ขนาดบางวันผมหนีไปออกอีกประตู ก็ดันมีคนตามมาเดินประกบ แล้วทำท่าเหมือนพูดคนเดียวงึมงำๆ ซักพักเจ้าฮารุกะก็จะโผล่มาจากที่ไหนซักแห่งอย่างไม่น่าเชื่อ =[]= พอลอบสังเกตดีๆก็รู้ว่า คนที่ตามประกบผมนั่นสวมหูฟังแล้วมีไมค์อันเล็กๆ ติดอยู่แถวๆเสื้อ เฮ้ย.... เล่นกันแบบนี้เลยว่ะ เชื่อแล้วว่ามีญาติเปิดบริษัทบอดี้การ์ด T T
“เอย์จิ เอาน้ำอะไร” บุรุษในชุดขาวทั้งตัวถามขึ้นมาแล้ววิ่งเหยาะๆไปที่ตู้ขายน้ำอัตโนมัติ
“อย่างเดิมละกัน” ผมตอบโดยยังคงไม่ละสายตาจากป้ายประกาศที่ติดไว้บนเสาไฟฟ้า ประกาศหมาหาย ประกาศขายบ้าน และอื่นๆอีกมากมาย ถึงมันจะไม่เกี่ยวอะไรกับผมก็เหอะ แต่นิสัยอย่างนึงที่เลิกไม่ได้ก็คือชอบอ่านป้ายประกาศนี่แหล่ะ
“โอเค คาลพิโก้วอเตอร์นะ ของผมก็... ชานมละกัน” เสียงเหรียญร่วงหล่นผ่านเครื่องดังกริ๊งๆ นิ้วเรียวขาวนวลจิ้มเบาๆบนปุ่ม แล้วก็มีเสียงกระป๋องกระทบกับของแข็งดังกึง ไม่นานฮารุกะก็วิ่งกลับมาหาผมพร้อมเครื่องดื่มเย็นๆ
ดูเหมือนการเดินกลับบ้านพร้อมกับฮารุกะจะกลายเป็นเรื่องปกติซะแล้ว ตลอด 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาฮารุกะจะมาคอยผมเลิกเรียนแล้วก็เดินกลับมายังบ้านผมทุกวันๆ ....................... แต่ไม่ได้หมายความว่าเราอยู่บ้านเดียวกันแล้วนะ = =” ผมเดินมาถึงบ้านผมก็จะพบกับคนขับรถประจำตระกูลคุโรยานางิจอดรถรอรับคุณหนูพร้อมออกเดินทางทุกเมื่อ แล้วฮารุกะก็จะนั่งรถกลับบ้าน ไม่รู้ทำไมเค้าต้องลงทุนเดินตามผมให้เมื่อยตุ้ม ช่วงนี้ผมเลยไม่สามารถแวะเที่ยวไหนก่อนกลับบ้านได้เลย คุณนายคาวามุระ(เสด็จแม่ที่เคารพรัก)ก็ได้แต่ดีอกดีใจที่ว่าที่ลูกเขยคอยตามคุ้มกัน(?)ว่าที่ภรรยาทุกวันๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย โอ๊ยยยย ผมไม่อยากจะบอกเลยว่าเจ้านั่นมันตื๊อผมเองต่างหาก ผมไม่ได้เต็มใจซักกะติ๊ดส์ ไม่รู้จะทำไงกับมันดีเลยปล่อยเลยตามเลย กลายเป็นยิ่งได้ใจ ตามติดหนึบเป็นปลิงดูดเลือด
เข้าอาทิตย์ที่สามของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต ทุกๆครั้งที่ผมแหงนหน้ามองฟ้า ก็จะนึกถึงคนคนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตผมต้องกลายเป็นแบบนี้ ปู่นะปู่ อะไรดลใจให้ปู่ไปสัญญาแบบนั้นได้ อ้อ.. และอีกคนที่ผมจะนึกถึงก็คือยัยน้องสาวตัวแสบที่ด่วนจากกันไปซะก่อน นี่ถ้ายัยอามิยังอยู่ ผมก็คงไม่ต้องมาตกระกำลำเค็ญขนาดนี้ร้อก จะฟื้นขึ้นมาตอนนี้ก็ยังไม่สายนะน้องรัก ร่างของแกคงยังไม่เน่า... มั้ง แต่มันผ่านมาจะ 2 ปีแล้วนี่หว่า รึว่าจะเหลือแต่กระดูกแล้ว -*-
“ใครก็ได้ ช่วยด้วยยย” มีเสียงแว่วมาจากตรอกหนึ่ง คุณหนูคุโรยานางิหันขวับแล้วหันมาถามผม
“นี่ ได้ยินอะไรมั้ย”
“หา... อือ สงสัยไอ้พวกกุ๊ยมัธยมมันเอาอีกแล้วมั้ง ชอบข่มขู่รีดไถเด็กตัวเล็กๆ แต่อย่าไปยุ่งกับมันเลย ชั้นยังไม่อยากเจ็บตัว” ผมเดินต่ออย่างไม่สนใจ โอย... ปวดฉี่ จะรีบกลับบ้านนน ไม่น่าซดน้ำเข้าไปเยอะเลย
“แต่ว่า... จะไม่ไปช่วยหน่อยเหรอ คุณยอมทนดูคนอื่นถูกรังแกได้เหรอ” ฮารุกะดึงแขนเสื้อผมแน่น
“นี่นาย... ถ้าชั้นมาคอยสนใจเรื่องทะเลาะวิวาทของใครต่อใครที่เจอทุกวันๆ ชั้นไม่ประสาทตายเลยรึไง ชั้นไม่ใช่ตำรวจซักหน่อย” พูดจบก็เดินดุ่มๆต่อ ปวดฉี่แล้วหงุดหงิด เข้าใจมะ
ถ้าดูดีๆจะเห็นว่าสรรพนามที่ผมใช้แทนตัวนั้นเปลี่ยนไป ผมเองก็จำไม่ได้ว่าเลิกใช้คำสุภาพกับฮารุกะเมื่อไหร่ แต่ก็ช่างมันเหอะ
“ถ้าคุณไม่ไป งั้นผมไปดูเอง” ราวกับวิญญาณผู้ผดุงความยุติธรรมระดับชาติมาสิงร่าง ชายร่างบางวิ่งตรงไปยังต้นเสียง เขาผลุบหายเข้าไปในซอยเล็กๆทันที เฮ้ย.... ท่าไม่ดีแล้วแฮะ ผมเคยเห็นแก๊งค์เด็กอันธพาลรุมขู่ไถเงินเด็กประถม และใครก็ตามที่ดูท่าทางอ่อนแอกว่า ถ้าไม่ทำตามก็จะโดนรุมตื้บ ผมเองก็ไม่เคยเจอกับตัวเองหรอกเพราะวิ่งหนีได้ทันทุกครั้งไป เห็นงี้ก็เหอะ ผมเคยได้ที่ 3 ของการแข่งวิ่งร้อยเมตรมาก่อนนะ (แข่งระดับโรงเรียนน่ะ ไม่ใช่อินเตอร์ไฮอะไรนั่นหรอก) ด้วยความอยากรู้อยากเห็นผมเลยรีบตามฮารุกะไปทันที ................... ด้วยความเป็นห่วงด้วยก็ได้วะ -*-
ภาพที่เห็นคือฮารุกะยืนจังก้าพูดจาห้ามปรามกลุ่มเด็กม.ปลาย 4-5 คนที่กำลังยืนล้อมเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ม.ต้น ท่าทางแต่ละคนน่ากลัวใช่ย่อยแฮะ ลำพังแค่ตัวต่อตัวผมก็ไม่มีปัญญาจะสู้กับมันแล้ว แต่นี่มัน.. ตั้ง 5 คนอ้ะ
“ปล่อยเด็กคนนั้นไปนะ พวกคุณรังแกคนที่อ่อนแอกว่าได้ยังไง ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเลย” คู่หมั้นผมเอ่ยเสียงเข้ม สายตามุ่งมั่นนั่นหวังจะปราบอธรรมอย่างเห็นได้ชัด โอ้.... ว้าว................มันช่าง ...................... น่าประหลาดแท้ - - เหมือนกำลังดูหนังพวกเรนเจอร์ๆ อะไรประมาณนั้น (คิดว่าผมตกหลุมรักเค้ารึไง ห๊า?)
“อะไรกัน พี่สาว มาขัดจังหวะแบบนี้ อย่าหวังว่าจะได้กลับไปดีๆเหมือนขามานะ” อันธพาลคนหนึ่งยิ้มหยันแล้วเดินออกมาช้าๆ เฮ้ย.. พูดผิดแล้ว ต้องเรียกพี่ชาย ไม่ใช่พี่สาวสิวะ ฮารุกะไม่ได้สาวแตกขนาดนั้นซักหน่อย มีฉุนๆ
“ผมขอพูดอีกครั้ง ปล่อยเด็กคนนั้นเดี๋ยวนี้”
“ไม่ง่ายอย่างงั้นมั้ง พี่ชาย” กุ๊ยอีกคนตอบกลับมา อืม... เรียกให้ถูกๆแบบนี้ค่อยยังชั่ว เอ๊ะ แล้วผมจะมาอะไรกับพี่ชายพี่สาวด้วยเนี่ย
“เฮ้ย ฮารุกะ รีบหนีเหอะ พวกมันมีอาวุธนะ” ผมรีบกระซิบเตือนเพราะเห็นไม้ขนาดยาวในมือคนคนหนึ่ง หากแต่เสียงของผมคงไม่สามารถสื่อไปถึงใจของเขาได้เพราะไร้การตอบโต้ใดๆทั้งสิ้น โอ้... ชีวิตเอย์จิคุงช่างเศร้านัก
“ถ้าพูดดีๆไม่ฟัง ผมเกรงว่าอาจต้องใช้กำลังกันนะครับ” ถ้อยคำยังคงสุภาพไม่เปลี่ยน แต่ถ้าฟังดีๆจะรู้ว่า เขาได้ตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่าง เป็นการตัดสินใจที่ไม่สามารถล้มเลิกได้ เฮ้ย... อย่าบอกนะว่าคิดจะลุยน่ะ ผมไม่ถนัดเรื่องต่อยตีซะด้วย (ถ้าหนีล่ะก็โอเค) ถ้าเกิดมีเหตุมะรุมมะตุ้มขึ้นมาล่ะก็ผมชิ่งสถานเดียว ใครจะเป็นไงก็ช่างล่ะ - -
“งั้นมาเจอกันหน่อยซิ ดูว่าจะแน่ซักแค่ไหน” เด็กหนุ่มหน้าตาน่ากลัว 5 คนละมือจากเด็กชายผู้โชคร้ายแล้วพุ่งเป้ามาที่ฮารุกะ อ๊ากกกก แย่แล้วๆๆ ทำไงดี จะเอาอะไรไปสู้เค้าได้ ฮารุกะตัวนิดเดียว แค่หมัดๆนึงก็ไม่รู้ว่าจะรับได้รึป่าว
“ขออภัย หากทำอะไรรุนแรงไป” ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมเห็นนั้นเป็นเรื่องจริงมั้ย แต่ฮารุกะก้มหัวนิดๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะเกิดขึ้น...
:: 6th scene ::
ผมยืนอ้าปากค้างกับภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า นักเรียนชายม.ปลายถึง 5 คนลงไปนอนกองอยู่กับพื้นเหมือนใบไม้ร่วง ในขณะที่ชายหนุ่มร่างบางยืนนิ่งจ้องมองแต่ละคนอย่างไม่ลดละ ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนบนร่างกายเขา ไม่มีแม้แต่น้อย...
“อูย... ไอ้หมอนี่มันเก่งจริง” เด็กหนุ่มคนหนึ่งโอดครวญ
“ผมเตือนแล้วว่าผมอาจทำอะไรรุนแรงลงไป ต้องขออภัยด้วย” ทายาทตระกูลซามูไรก้มหัวเล็กน้อย แล้วหันไปทางเด็กชายผู้โชคร้าย “เอาล่ะ รีบกลับบ้านซะนะ” ผู้ได้รับการช่วยชีวิตพยักหน้าหงึกๆแล้ววิ่งแผล็วออกไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย... ฮารุกะ” ผมเพิ่งจะเค้นคำพูดออก “เราก็รีบไปมั่งเหอะ”
“หืม? นั่นสิ กลับบ้านกันเถอะ” ว่าแล้วเขาก็ยิ้มหวานแล้วเดินมาควงแขนผม .................. ซะที่ไหนล่ะ แค่เดินมาหาผมแล้วจับแขนไว้เท่านั้นเอง (ยังกะจะล็อคตัวไว้ไม่ให้หนีงั้นแหล่ะ)
ผมหันไปมองกลุ่มเด็กเกเรที่โดนอัดซะงอมอีกครั้ง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านั่นจะเป็นผลงานของว่าที่สามี(?)ผม เห็นท่าทางอ้อนแอ้นแบบนี้แต่แรงเยอะใช้ได้ แถมยังว่องไว ปราดเปรียว เอ้อ... แม่ผมเคยบอกว่าคุณหนูฮารุกะเป็นศิลปะป้องกันตัวตั้งหลายอย่างนี่หว่า คนแบบนี้ไม่เป็นศัตรูด้วยจะดีที่สุด แต่เมื่อกี้ก็เท่ห์มากเลยนะ นี่ถ้าผมเป็นสาวๆ สงสัยได้กรี๊ดสลบในความห้าวหาญมาดแมนแบบนั้นแหงมๆ ........................... เอ้อ.. แต่บังเอิญว่าผมไม่ใช่แบบนั้นน่ะ เหอะๆ
ชั่วขณะที่หันกลับไปมองคนที่เดินข้างๆ ผมทันเห็นชายคนหนึ่งหยิบไม้ยาวข้างตัวแล้วลุกขึ้นมา เป้าหมายคือผู้ที่ปราบตัวเองได้เมื่อครู่ ถึงผมจะเอ๋ออยู่เป็นนิจแต่ในเวลาคับขันแบบนี้ก็ความรู้สึกไวไม่น้อย
“ฮารุกะ หลบ!!”
ผมรีบดึงตัวเขาเข้าหาตัวเองแล้วก้มลงอย่างรวดเร็ว ไม่รู้หรอกว่านั่นจะทำให้หลบการโจมตีได้มั้ย แต่ถ้าผมบังฮารุกะไว้ก่อน อย่างน้อยเขาก็คงไม่บาดเจ็บ
วืด!
เสียงไม้หน้าสามแหวกอากาศผ่านหัวผมไปเพียงนิดเดียว โอ๊ยยย โชคดีหลายๆที่หลบทัน เนื่องจากการโจมตีพลาดเป้าหมาย ผู้โจมตีเลยเสียหลักเซไปข้างๆ จังหวะนั้นเอง...
ปึ้ก!
อุ้งเท้าที่ห่อหุ้มด้วยรองเท้าราคาแพงพุ่งประทับรอยตรงท้องน้อยพอดิบพอดี ฮารุกะทะลึ่งตัวขึ้นตอนไหนก็ไม่รู้ (ผมยังนั่งเอ๋อไม่เลิกอยู่เลย)
“แก... ลอบทำร้ายข้างหลังเรอะ” ไม่นึกว่าเสียงเหี้ยมนั้นจะหลุดออกจากปากของคุณหนูผู้อ่อนหวาน(ตรงไหน) สงสัยเลือดซามูไรมันจะสูบฉีดแรงเกินไปแล้ว ฮารุกะตอนนี้ดูเหมือนนักดาบที่โกรธเกรี้ยวเนื่องจากโดนศัตรูแอบฟันข้างหลัง(?)อย่างผิดจรรยาบรรณนักดาบ ด้วยความกลัวว่ามันจะไปกันใหญ่ผมเลยรีบดึงแขนเขาไว้
“ฮารุกะ พอเถอะ ดูพวกนั้นสิ กลัวนายจนขี้ขึ้นสมองแล้ว เรารีบกลับกันเถอะ นะ...” แอบหยอดเข้าไปท้ายประโยคนิดนึง หวังจะดึงคู่หมั้นเลือดร้อนกลับมา เรื่องของเรื่องคือ.... อย่างที่ผมบอกไปตั้งกะตอนที่แล้ว .....
ผมปวดฉี่!
“ก็ได้ ถ้าเอย์จิว่างั้นก็ตกลง” แล้วเขาก็ส่งสายตาอาฆาต ประมาณว่า ขืนลุกขึ้นมาสู้อีก กุจะฆ่าตัดตอนให้หมดเลย(เว่อร์น่า)
ผมจับแขนผอมๆที่ซ่อนแรงมหาศาลเอาไว้แล้วดึงให้เจ้าตัวเดินออกจากซอยนั้น แต่ฮารุกะก็สะบัดออก ............. แล้วเปลี่ยนมาจับมือผมแทน -*-
“นี่.. นายน่ะ ไม่เห็นต้องไปยำเค้าจนเละขนาดนั้นเลย เกิดทีหลังเค้าดักซุ่มแอบตีหัวเวลาเราเดินผ่านจะทำไงห๊า” ผมเก๊กเข้มดุว่าที่สามี เอ่อ... ดุคู่หมั้นซักหน่อย
“ก็เค้าจะทำร้ายเอย์จินี่นา ผมก็เลย.... เผลอ” ดวงตาคู่งามหลุบต่ำลงเหมือนสำนึกผิด
“เฮ้ย ก็ตีไม่โดนซักหน่อย ..... เอาน่า เรื่องมันผ่านไปแล้ว ทีหน้าทีหลังก็อย่าบ้าเลือดไปต่อยตีกับใครเค้าทั่วละกัน” เสียงของผมอ่อนลง ฟังๆดูแล้วเหมือน...
“เป็นห่วงผมเหรอ” ฮารุกะยื่นหน้าเข้ามาถามพลางยิ้มน้อยๆ
เป็นห่วง... อย่างงั้นเหรอ??
ผมเป็นห่วงเขาเหรอ?
“ก็...” ผมเริ่มต้นแก้ตัว(?) “ก็ถ้าเกิดวันไหนไปเจอพวกยากูซ่าขึ้นมา มันเอาเราตายแน่เลยน่ะสิ ชั้นยังไม่อยากชีวิตสั้นนะเว้ย” สรุปคือห่วงตัวเองนั่นเอง - -
“เอาน่า ตระก
Fiction